สิทธิของผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาในคดีอาญา
ผู้ต้องหา หมายถึง
บุคคลผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดแต่ยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาล
ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (2)) จากความหมายของผู้ต้องหาดังกล่าว
จะเห็นได้ว่าผู้ต้องหานั้นเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยว่าได้กระทำความผิดเท่านั้น
แต่การที่เขาจะกระทำความ ผิดจริงหรือไม่นั้น
ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆโดยศาล
สิทธิของผู้ต้องหาตามรัฐธรรมนูญ
1. สิทธิที่จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่มีความผิด
และก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดจะแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำความผิด
จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดมิได้ ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 39
2. สิทธิที่จำได้รับการสอบสวนหรือพิจารณาด้วยความถูกต้อง
รวดเร็ว ต่อเนื่องและเป็นธรรม ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 40 (3) (4) (7)
3. สิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐด้วยการจัดหาทนายความให้
ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 40(7)
4. สิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองอันอาจทำให้ตนเองถูกฟ้องคดี
ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 40(4))
5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคำขอประกันผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาอย่างรวดเร็ว
และจะเรียกหลักประกันจนเกินควรมิได้
การไม่ให้ประกันต้องอาศัยเหตุตามกฎหมายและต้องแจ้งเหตุให้ทราบโดยเร็ว
ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 40(7)
ณ สถานที่จับกุม
สิทธิของผู้ถูกจับในชั้นจับกุมบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 83
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการจับกุม ซึ่งจำแนกวิธีปฏิบัติในการจับออกเป็นข้อได้ดังนี้
1. เจ้าพนักงานซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับว่า
เขาต้องถูกจับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83
วรรคหนึ่ง เจตนาของกฎหมายเพื่อให้ผู้ถูกจับทราบเบื้องต้นว่าเขาจะ ต้องถูกจับ
2. เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบ
หรือหากเป็นกรณีจับตามหมายจับผู้จับต้องแสดงหมายจับต่อผู้ถูกจับ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83
วรรคสองเพื่อที่ผู้ถูกจับจะได้ทราบข้อกล่าวหาและรายละเอียด
ข้อเท็จจริงที่เขาจะต้องถูกจับตามหมายจับที่ได้แสดงนั้น ซึ่งผู้ถูกจับจะได้เตรียมการต่อสู้และแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างถูกต้อง
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกจับ
ในกรณีที่เขาไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามที่ตั้งข้อกล่าวหาไว้
หากเจ้าพนักงานผู้จับมิได้แจ้งถือเป็นการจับมิชอบ ซึ่งจะมีผลดังนี้
1) ผู้ที่จะถูกจับกระทำการโต้ตอบการจับโดยอ้างป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 68
ได้
2) ผู้จะถูกจับต่อสู้ขัดขวาง
ก็ไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138
และไม่ผิดฐานทำร้ายร่างกาย
3) ผู้จับมีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 310 (คำพิพากษาฎีกาที่
1089/02)
4) ผู้จับอาจมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถูกจับตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 (คำพิพากษาฎีกาที่4243/42)
5) ผู้ถูกจับมีสิทธิฟ้องหน่วยงานของรัฐให้รับผิดในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ตาม
พ.ร.บ. ความรับผิดต่อเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539
มาตรา 5 (คำพิพากษาฎีกาที่5824/43)
6) พยานหลักฐานที่ได้มาจากการค้นอันสืบเนื่องมาจากการจับโดยไม่ชอบ
จะ “รับฟัง” ไม่ได้
7) การจับโดยไม่ชอบทำให้การคุมขังต่อเนื่องมาจากการจับนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายตามไปด้วย
ผู้ถูกคุมขัง ฯลฯ มีสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90
ยื่นคำร้องขอให้ศาลปล่อยตัวได้ คำพิพากษาฎีกาที่466/41
3. เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งว่าผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้
ตามประมวลกฎ หมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83
วรรคสอง เพื่อเป็นการเปิดโอกาสที่จะให้ผู้ถูกจับได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมได้อย่างเต็มที่
และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกจับที่จะไม่ให้การในชั้นจับกุมหรือในชั้นพนักงานสอบสวน
เพื่อที่ผู้ถูกจับจะเตรียมตัวในการที่จะแก้ข้อกล่าวหาโดยที่จะไม่มีผู้ใดบังคับให้เขาให้การในขณะนั้น
ถ้าเขายังไม่มีความพร้อมที่จะให้การซึ่งเมื่อเขาให้การไปแล้วอาจจะเสียเปรียบในการต่อสู้คดีได้
จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกจับได้มีโอกาสที่จะต่อสู้ได้อย่างเต็มที่
4. เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งว่าถ้อยคำที่ผู้ถูกจับให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83
วรรคสอง
5. เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งว่า
ผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความหรือผู้ซึ่งจะเป็นทนายความได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา 83
วรรคสอง
เพื่อให้ผู้ถูกจับสามารถที่จะมีที่ปรึกษาทนายความที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย
เข้ามาคุ้มครองช่วยเหลือแก่เขาในการแก้ข้อกล่าวหา
6. เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งให้ผู้ถูกจับทราบว่า
มีสิทธิแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งเขาไว้วางใจทราบถึง
การจับกุมที่สามารถดำเนินการได้โดยสะดวก
และไม่เป็นการขัดขวางการจับหรือการควบคุมผู้ถูกจับ หรือทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด
เจ้าพนักงานก็ต้องอนุญาตให้ผู้ผูกจับดำเนินการได้ตามสมควรแก่กรณี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83
วรรคสอง
ตามปกติเจ้าพนักงานผู้จับต้องอนุญาตให้บุคคลผู้ถูกจับดำเนินการได้ตามสมควรแก่กรณี
และสามารถดำเนินการได้โดยสะดวก และไม่เป็นการขัดขวางการจับหรือการควบคุมผู้ถูกจับ
หรือจะทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยแก่บุคคลหนึ่งบุคคลใด
เพื่อให้บุคคลผู้ถูกจับมีที่ปรึกษาในทันทีที่เขาถูก จับกุม
ซึ่งเขาจะได้ปรึกษาหารือถึงการดำเนินการในการแก้ข้อกล่าวหา
และเพื่อที่จะแจ้งให้ญาติ หรือผู้ซึ่งตนเองไว้วางใจ มีการเตรียม
การเพื่อขอปล่อยชั่วคราว
ซึ่งเจตนาของกฎหมายเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกจับของรัฐ
ที่จะไม่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำนอกขอบเขตของกฎหมาย และจะไม่ถูกควบคุม คุมขัง
โดยไม่จำ เป็น และเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ถูกจับได้ต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่
ซึ่งในการแจ้งสิทธินี้ให้เจ้าพนักงานผู้จับนั้น
บันทึกการแจ้งข้อความที่ได้แจ้งสิทธิที่ได้อนุญาต ดังกล่าวไว้ด้วย
ณ ที่ทำการของพนักงานสอบสวน
สิทธิของผู้ถูกจับ ณ
ที่ทำการของพนักงานสอบสวนบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 ซึ่งจำแนกวิธีปฏิบัติต่อผู้ถูกดังนี้
1. เจ้าพนักงานผู้จับต้องนำตัวผู้ถูกจับไปยังที่ทำการของพนักงานสอบสวนโดยทันทีตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 84
วรรคแรก เพื่อให้ผู้ถูกจับได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ได้มากขึ้น
โดยที่จะไม่ถูกจับ จะไม่ถูกควบคุมจากพนักงานผู้จับไว้นานเกินสมควร
และเพื่อให้เจ้าพนัก
งานผู้รับตัวผู้ถูกจับจะได้ทำการตรวจสอบด้วยว่าการจับของเจ้าพนักงานผู้จับซึ่งจับบุคคลผู้ถูกจับมานั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพียงใดด้วย
แต่ถ้าหากเจ้าพนักงานผู้ทำการจับกุมมีเจตนาหน่วงเหนี่ยว ถ่วงเวลาไว้เพื่อการอย่างอื่น
ๆ โดยไม่มีเหตุจำเป็นตามควร เจ้าพนักงานอาจมีความผิดต่อเสรีภาพ
หรือมีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
2. ในกรณีที่เจ้าพนักงานเป็นผู้จับ
เจ้าพนักงานผู้จับต้องแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุแห่งการจับให้ผู้ถูกจับทราบ
ถ้ามีหมายจับให้แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบและอ่านให้ฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา
84
วรรคหนึ่ง (1) เพื่อให้ผู้ถูกจับทราบข้อกล่าวหาและรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุแห่งการจับทราบโดยละเอียด
และถ้าเป็นการจับโดยมีหมายจับก็ให้อ่านหมายจับให้บุคคลผู้ถูกจับฟังอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อถึงที่ทำการพนักงานสอบสวน
3. เจ้าพนักงานผู้จับต้องมอบสำเนาบันทึกการจับแก่ผู้ถูกจับนั้นด้วย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84
วรรคหนึ่ง (1) เพื่อเป็นการที่จะให้ผู้ถูกจับตรวจสอบความถูกต้องของการจับของเจ้าพนักงานว่าถูกต้องหรือไม่เพียงใด
และสามารถนำไปต่อสู้คดีได้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม
4. ในกรณีที่ราษฎรเป็นผู้จับ
ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งรับมอบตัวบันทึกชื่อ อาชีพ ที่อยู่ ของผู้ถูกจับ
อีกทั้งข้อความและพฤติการณ์แห่งการจับนั้นไว้ และให้ผู้จับลงลายมือชื่อกำกับไว้เป็นสำคัญ
เพื่อดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาและรายละเอียดแห่งการจับให้ผู้ถูกจับทราบ
และแจ้งให้ผู้ถูกจับทราบด้วยว่าผู้ถูกจับมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือให้การก็ได้
และถ้อยคำของผู้ถูกจับอาจใช้เป็นพยานหลัก ฐานในการพิจารณาคดีได้
5. เจ้าพนักงานผู้รับตัวต้องแจ้งสิทธิและดำเนินการแก่ผู้ถูกจับเพื่อให้ผู้ถูกจับทราบสิทธิตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 7/1
ดังต่อไปนี้
1) พบและปรึกษาผู้ที่จะเป็น
ทนายความเป็นการเฉพาะตัว
2) ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
ในชั้นสอบสวน
3) ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร
4) ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย
การไม่แจ้งสิทธิตามมาตรา 7/1
(เดิมคือมาตรา 77
ทวิ) คำพิพากษาฎีกาที่ 4063/49
วินิจฉัยว่า “บันทึกการจับกุม” ไม่อาจรับฟังได้
6. เจ้าพนักงานต้องจัดให้ผู้ถูกจับสามารถติดต่อกับญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจ
เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมได้ในโอกาสแรกเมื่อผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวน
หรือถ้ากรณีผู้ถูกจับร้องขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นผู้แจ้งก็ให้จัดการตามคำร้องขอนั้นโดยเร็ว
และให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจบันทึกไว้ในการนี้ มิให้เรียกค่าใช้จ่ายใด ๆ จากผู้ถูกจับ
(กรณีนี้เจ้าพนักงานผู้รับตัวผู้ถูกจับ
เมื่อผู้ถูกจับมาถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนในโอกาสแรก
เมื่อผู้ถูกจับร้องขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับไว้วางใจ
เพื่อให้ทราบถึงการจับกุม และสถานที่ควบคุมในโอกาสแรก
เจ้าพนักงานก็ต้องมีหน้าที่จัดการติดต่อญาติหรือผู้ที่ผู้ถูกจับไว้วางใจทราบ
และการติดต่อห้ามมิให้เจ้าพนักงานผู้รับตัวผู้ถูกจับเรียกค่าใช้จ่ายจากผู้ถูกจับ
ถ้าเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจไม่ดำเนินการตามที่ร้องขอ
อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 157 ที่ว่า
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ
จำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี
หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
7. ผลของการที่เจ้าพนักงานผู้จับไม่แจ้งสิทธิหรือไม่จัดดำเนินการบทบัญญัติของกฎหมายให้แก่ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 84
วรรค 4
ถ้อยคำใดๆ
ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับหรือพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในชั้นจับกุมหรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ
ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำความผิด
ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่นจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 84
วรรคหนึ่งหรือตามมาตรา 83
วรรคสองแก่ผู้ถูกจับแล้วแต่กรณี
8. การแจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิด
แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบการแจ้งข้อหาตามวรรคหนึ่ง
จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระทำผิดตามข้อหานั้นผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว
ต่อเนื่อง
และเป็นธรรมพนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริง
อันเป็นประโยชน์แก่ตนได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134
9. ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต
หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา
ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่
ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้ ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก
ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ
ให้รัฐจัดหาทนายความให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/1
10. ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/3
11.ในการถามคำให้การผู้ต้องหา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/4
ให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่า
1) ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้
ถ้าผู้ต้องหาให้การ
ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
2) ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้เมื่อผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดก็ให้จดคำให้การไว้
ถ้าผู้ต้องหาไม่เต็มใจให้การเลยก็ให้บันทึกไว้ถ้อยคำใดๆ
ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง
หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/1
มาตรา 134/2
และ มาตรา 134/3
จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้
12. ในการถามคำให้การผู้ต้องหา
ห้ามมิให้พนักงานสอบสวนทำหรือจัดให้ทำการใดๆ ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ
หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำโดยมิชอบ ประการใดๆ
เพื่อจูงใจให้เขาให้การอย่างใดๆ ในเรื่องที่ต้องการนั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135
13. พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134