หลักนิติภาษิต บันทึกโดย หลวงสกล สัตยาทร / สวัสดิการของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด......ผู้ใดมาขอความยุติธรรม ผู้นั้นต้องมาด้วยมือสะอาด..... ผู้ใดละเมิดกฎหมาย จะแสวงหาความช่วยเหลือจากบทกฎหมายย่อมไม่บังเกิดผล.....จากมูลเหตุอันไร้ศีลธรรม ย่อมไม่เกิดสิทธิแห่งการเรียกร้อง..... อาชญากรรมยังผลให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการนั้นไร้ผล....กฎหมายไม่บังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือพ้นวิสัย.....บทกฎหมายให้ความช่วยเหลือผู้ที่ระวัง แต่ไม่ช่วยเหลือผู้ที่นอนหลับ.....ทุกสิ่งต้องสันนิษฐานว่าถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ความตรงข้าม..... กฎหมายไม่ต้องการให้พิสูจน์สิ่งซึ่งชัดแจ้งต่อศาลแล้ว.....ถ้อยคำที่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องการคำอธิบาย.....การตีความในกฎหมายย่อมจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย..... เมื่อข้อความใดเคลือบคลุม ในการตีความต้องละเว้นสิ่งที่ไร้ผลและสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.....ในเมื่อถ้อยคำนั้นตีความหมายไม่ได้เป็นสองนัยแล้ว ก็ไม่ควรให้มีการแปลความหมายที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำที่แท้จริงนั้น ..... ท่านต้องไม่ทำให้ถ้อยคำในตัวบทกฎหมายแตกต่างหรือผันแปรไป....หลักการตีความหมายควรถือหลักเสรี และควรให้ถ้อยคำเป็นไปตามความตั้งใจ.....จะต้องเข้าใจถ้อยคำไปในทางที่จะให้วัตถุประสงค์นั้นเป็นผลสำเร็จ ไม่ใช่เสียผล.....การตีความในกฎหมายย่อมจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย....ในการตีความหมายในสัญญาควรต้องเพ่งเล็งเจตนาของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยคำที่ใช้อยู่....กฎหมายไม่บังคับให้ผู้ใดปรักปรำตนเองหรือให้หลักฐานเป็นปรปักษ์แก่ตน....ในทางอาชญากรรมย่อมมุ่งถึงเจตนา ไม่ใช่ผลของการกระทำ...ไม่มีผู้ใดต้องถูกลงโทษเนื่องจากความคิด....เพียงแต่การกระทำเท่านั้นยังไม่ทำให้ผู้กระทำมีความผิดเว้นแต่จะได้กระทำโดยเจตนาที่ผิด....ผู้สำคัญผิดไม่ได้ถือว่าให้ความยินยอม.....ถือเอาตามน้ำหนักของพยาน ไม่ใช่จำนวนพยาน.....คำรับสารภาพที่รับต่อศาลย่อมมีน้ำหนักว่าการพิสูจน์อย่างอื่น.....เมื่อความเห็นเท่ากันจำเลยย่อมถูกยกฟ้อง ....ดุลยพินิจคือการวินิจฉัยโดยอาศัยหลักกฎหมายว่าอะไรยุติธรรม.....คำพิพากษาของตุลาการที่ตัดสินเกินอำนาจย่อมไม่มีผล....การจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดที่สุดทีทำให้เกิดความอยุติธรรมมากที่สุดได้

มนุษย์ สังคมและกฎหมาย


1. มนุษย์ สังคมและกฎหมาย

            อริสโตเติ้ล  (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีกกล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม  (Social Animal) ซึ่งเมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนหลังขึ้นไปก็ต้องยอมรับว่าเป็นความจริง เพราะไม่ปรากฏว่ามี มนุษย์ผู้ใดที่อยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวลำพัง จะพบว่ามีแต่มนุษย์ที่อาศัยรวมกันเป็นหมู่เป็นคณะไม่มากก็น้อย การที่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ ก็เพราะเมื่อเทียบมนุษย์กับสัตว์ป่าและอำนาจต่าง ๆ ของธรรมชาติแล้ว ต้องกล่าวว่ามนุษย์มีกำลังน้อย เมื่อวัยเยาก็ต้องอาศัยการปรนนิบัติและการคุ้ม ครองของผู้อื่นเป็นนิตย์ เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังต้องอาศัยบุคคลอื่นในการช่วยเหลือป้องกันภัยจากการรุกราน จากภยันตรายภายนอก ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ธรรมชาติหรือเกิดจากการกระทำของบุคคลภายนอกสังคม เช่น การปล้น ฆ่า  ทารุณ แย่งที่ทำกิน  นอกจากนั้นยังต้องอาศัยความร่วมมือกันของคนในสังคม ในอันที่ขจัดภัยที่เกิดขึ้นจากบุคคลในสังคมเดียวกันด้วย ที่กล่าวมานี้เป็นวัตถุประสงค์หนึ่งในการที่บุคคลรวมตัวกันเป็นสังคม

            ก่อนที่จะมีกฎหมายที่บัญญัติขึ้นอย่างในปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายลายลักษณ์อักษรก็คือ  ขนบธรรมเนียม ประเพณี จารีตประเพณี โดยในระยะแรกสมาชิกในชุมชนหรือสังคมจะยังไม่เข้าใจเหตุผลหรือสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นโดยละเอียดลึกซึ้งแต่อย่างใด แต่เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่าเป็นสิ่งที่ถูกสิ่งที่ควรยึดถือปฏิบัติ ต่อมาเมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นในหมู่ชนบุคคลที่เป็นหัวหน้าชุมชนก็จะนำเอาจารีตประเพณีที่ได้รับการยอมรับและถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ความถูกต้องมาเป็นหลักชี้ขาดตัดสินว่าสมาชิกในสังคมหรือชุมชนใดจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด และในขณะเดียวกันก็ได้มีการปรุงแต่งคิดค้นกฎเกณฑ์ข้อบังคับนั้นให้มีความเหมาะสมตลอดจนนำเหตุผลธรรมดาสามัญไปจนถึงเหตุผลที่สลับซับซ้อนเข้ามามีส่วนในช่วยขัดเกลาให้เป็นกฎเกณฑ์ที่ยอมรับกันทั่วไป ตรงนี้เอ เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อรักษาความสงบ ความอยู่ดีกินดี และความเป็นปึกแผ่นของคนในรัฐหรือประเทศนั้นให้ดำรงอยู่ตลอดไป ดังนั้นจึงอาจกล่าวว่า กฎหมายคือปรากฏการณ์ทางชุมชน ซึ่งหมายถึงชุมชนหรือกลุ่มชนที่รวมตัวกันเป็นสังคมหนึ่งนั่นเองที่เป็นผู้ทำให้เกิดกฎหมาย อันตรงกันภาษิตลาตินที่ว่า “ Ubi Soioetas Ibi Jus” คือ ที่ใดมีสังคมเกิดขึ้น ที่นั่นย่อมมีกฎหมายเกิดขึ้นเช่นกัน 

            เมื่อกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราเช่นนี้ กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่คนทั่วไปควรรู้ อย่างไรก็ตามแม้จะไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดบังคับไว้ให้บุคคลทุกคนต้องรู้กฎหมาย แต่มีหลักกฎหมายอยู่ว่า ความไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัวทั้งนี้เนื่องมาจากการใช้นโยบายว่า บุคคลใดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากความรับผิดชอบตามกฎหมายไม่ได้ หากให้มีการกล่าวอ้างดังกล่าวได้ การบังคับใช้กฎหมายก็จะไม่บรรลุผล เพราะทุกคนต่างก็จะอ้างว่าตนไม่รู้กฎหมายเพื่อไม่ต้องรับผิดได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้คนไม่ต้องรับรู้กฎหมาย เพราะรู้กฎหมายน้อยก็จะรับผิดน้อย (มานิตย์ จุมปา : ลักษณะของกฎหมาย ,ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

2. ความหมายของกฎหมาย

            พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตได้ให้ความหมายของกฎหมายไว้ว่าหมายถึงบทบัญญัติซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศได้ตราขึ้นไว้เพื่อใช้ในการบริหารกิจการบ้านเมืองและบังคับบุคคลในความ สัมพันธ์ระหว่างกัน ผู้ใดฝ่าฝืนต้องรับโทษหรือถูกบังคับให้ปฏิบัติตาม

            พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ซึ่งได้รับการสดุดีว่าเป็นพระบิดาของกฎหมายไทยได้ทรงอธิบายความหมายของกฎหมายไว้ว่า กฎหมายคือคำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำตามจะต้องถูกลงโทษ

            ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ (กฎหมายเบื้องต้นทางธุรกิจ) ให้ความเห็นว่า กฎหมายในความหมายที่เข้าใจกันได้แก่กฎเกณฑ์ที่บังคับความประพฤติของผู้คนในสังคม ซึ่งอาจเป็นคำสั่ง (Command) หรือ บรรทัดฐาน (norm) ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมเนียมปฏิบัติ จารีตประเพณี หรือที่บัญญัติชัดแจ้ง โดยองค์กรที่มีอำนาจบัญญัติขึ้นสำหรับคนทั่วไป และมีกระวนการบังคับใช้ให้เป็นไปตามนั้น หากไม่ปฏิบัติตามอาจต้องได้รับโทษหรือเสียประโยชน์บางประการ

            กล่าวโดยสรุป จากความเห็นของนักกฎหมายอาจกล่าวได้ว่า กฎหมายคือสัญญาประชาคม (Socail Contract) ที่ผู้คนในสังคมตกลงทำสัญญากันว่าจะเคารพปฏิบัติตามกติกาทางสังคมที่สร้างขึ้น

3. ลักษณะของกฎหมาย

            โดยทั่วไปกฎหมายจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

            1. กฎหมายจะต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับของประเทศหรือของรัฐ หมายความว่า กฎหมายมาจากคณะบุคคลหรือบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดในรัฐออกคำสั่งหรือออกบทบัญญัติขึ้นมาบังคับใช้กับบุคคลในรัฐหรือบทบัญญัติที่ออกโดยใช้อำนาจทางนิติบัญญัติสร้างกฎหมายขึ้นมาเป็นข้อบังคับใช้เป็นพระราช บัญญัติ หรือฝ่ายนิติบัญญัติอาจมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายใช้เองได้ เช่น พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงในยามที่ต้องการความเร่งด่วนตามควรแก่กรณี

            2. กฎหมายใช้บังคับกับคนทุกคนที่อยู่ภายใต้การดูแลบังคับของรัฐนั้น กล่าวคือ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ภายใต้บังคับของรัฐ อย่างเช่น อยู่ในเมืองไทยก็ต้องภายใต้บังคับของกฎหมายไทย ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ภาษาใด (ยกเว้นผู้มีเอกสิทธิทางการฑูต) และกฎหมายจะบังคับใช้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใดโดยเฉพาะในลักษณะของการเลือกที่รักมักที่ชังไม่ได้

            นอกจากกฎหมายจะใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐแล้ว ยังใช้บังคับได้ทุกหนทุกแห่งที่อยู่ในราชอาณาเขตด้วย

            3. กฎหมายเป็นข้อบังคับหรือคำสั่งที่ใช้ได้เสมอไป กฎหมายเมื่อออกโดยบุคคลหรือโดยองค์กรที่มีอำนาจออกกฎหมายแล้ว เมื่อยังมิได้ถูกลบล้างหรือยกเลิกไป กฎหมายนั้นก็ยังคงใช้บังคับได้ตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวการณ์ใด หากไม่มีกฎหมายใหม่ออกมาลบล้างแล้วกฎหมายเก่าก็ยังคงใช้บังคับได้ตลอดไป

            4. กฎหมายเป็นข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม หมายถึงการบังคับให้ทุกคนต้องทำตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งอาจกำหนดให้ปฏิบัติตาม หรือ กำหนดให้ละเว้นไม่ให้กระทำเช่นนั้นก็ได้ กำหนดให้ปฏิบัติตาม เช่น ทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐ ชายไทยอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ต้องเข้ารับการเกณฑ์เป็นทหารรับใช้ชาติ การกำหนดให้ละเว้น  เช่น ห้ามทำร้ายร่างกายผู้อื่น ห้ามลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น

            5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ หมายถึง การที่กฎหมายจะต้องมีบทลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือคำสั่งของรัฐ ซึ่งอาจมีสภาพบังคับทางแพ่ง เช่น การจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย หรือสภาพบังคับทางอาญาซึ่งจะเป็นการกำหนดโทษเพื่อให้หลาบจำ ดังจะกล่าวไปในเรื่องความรับผิดทางกฎหมาย

4. ประเภทของกฎหมาย

            เมื่อพิจารณาตามเนื้อหาของกฎหมายแล้ว กฎหมายสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ

            4.1กฎหมายระหว่างประเทศ  

                    หมายถึง กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐ หรือประเทศต่อประเทศ หรือรัฐต่อพลเมืองของอีกรัฐหนึ่ง

            4.2 กฎหมายมหาชน

                 เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือหน่วยงานของรัฐกับประชาชน ในฐานะที่รัฐเป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยรวมทั้งสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชน จึงต้องให้อำนาจรัฐกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกในสังคม รวมทั้งมีหน้าที่ในการป้องกันปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เป็นภัยต่อสังคมอีกด้วย กฎหมายในสาขากฎหมายมหาชนมีเช่น รัฐธรรมนูญ กฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมทั้งพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่มีโทษทางอาญา

          4.3 กฎหมายเอกชน

                 เป็นกฎหมายที่กำหนดถึงสิทธิ หน้าที่และความเกี่ยวกันหรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือเอกชนต่อเอกชนด้วยกันเอง ในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน เช่น การซื้อขายเป็นเรื่องระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น  การกู้ยืมเงินก็เป็นเรื่องระหว่างผู้กู้กับผู้ให้กู้เท่านั้น  ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นหรือสังคมแต่อย่างใด โดยปกติรัฐจะเปิดกว้างให้บุคคลในสังคมสามารถทำนิติกรรมก่อให้เกิดความผูกพันในทางกฎหมายได้อย่างเสรีและกว้างขวาง โดยรัฐจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยที่สุด เว้นแต่นิติกรรมบางอย่างซึ่งเกี่ยว กับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ  เช่น การซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ การจำนองอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรัฐเพียงเข้าไปกำหนดแบบวิธีของการทำนิติกรรมเท่านั้น      แต่ในบางกรณี รัฐก็อาจเข้ามาก่อนิติสัมพันธ์กับเอกชนได้เหมือนกัน เช่น การที่รัฐเข้ามาทำการซื้อสินค้ากับเอกชน รัฐต้องลดฐานะที่เป็นฝ่ายปกครองลงมาเท่ากับราษฏร ซึ่งต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายเอกชนเช่นกัน

                 กฎหมายเอกชนที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

                 1) กฎหมายแพ่ง  เป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิหน้าที่และความสัมพันธ์ของบุคคลนับแต่เกิดไปจนตาย เช่น สถานะและความสามารถของบุคคล การทำนิติกรรม สัญญา สิทธิในทรัพย์สิน ความสัมพันธ์ในครอบครัว และการตกทอดทางมรดก       

                 2) กฎหมายพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่ใช้บังคับแก่บุคคลที่ประกอบธุรกิจ เช่น การค้าขาย เป็นต้น

                 ในบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น ได้มีการแยกกฎหมายพาณิชย์ไว้ต่างหากจากกฎหมายแพ่ง เพราะต้องการความคล่องตัวในการดำเนินการพาณิชย์ เพื่อจะได้มีบทบังคับและหลักเกณฑ์แยกไปต่างหากจากบทบังคับแก่เอกชนทั่ว ๆ ไป สำหรับประเทศไทยได้รวมเอากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไว้ด้วยกัน เรียกว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่มีกฎหมายทั้งหมด 1,755 มาตรา    แบ่งออกเป็น       

                 1) บรรพ 1  เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักทั่วๆ ไป เกี่ยวกับบุคคลและสิ่งที่บุคคลต้องเกี่ยวพันอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน คือ ทรัพย์และนิติกรรม ทั้งนี้ โดยบัญญัติเริ่มตั้งแต่สภาพบุคคล ความสามารถของบุคคล นิติบุคคล ทรัพย์ การทำนิติกรรมและผลบังคับของนิติกรรม                

                 2) บรรพ 2  เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องหนี้ เริ่มตั้งแต่บ่อเกิดแห่งหนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ที่เกิดจากหนี้ รวมตลอดถึงความระงับแห่งหนี้ นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับสัญญา การจัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ ละเมิด อีกด้วย           

                 3) บรรพ 3 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับเอกเทศสัญญา ซึ่งเป็นสัญญาเฉพาะอย่าง ที่แยกระบุชื่อ และมีรายละเอียดที่แตกต่างจากบทบัญญัติในบรรพ 2 โดยกล่าวถึงสัญญา 23 ประเภทด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเภทล้วนมีส่วนเกี่ยวพันกับการดำเนินชีวิตและการประกอบธุรกิจของบุคคลทั่วไป  เช่น ซื้อขาย  เช่า ทรัพย์ เช่าซื้อ  กู้ยืม ค้ำประกัน จำนอง จำนำ จ้างทำของ หุ้นส่วนบริษัท ฯลฯ เป็นต้น

                 4) บรรพ 4  เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับทรัพย์สินและสิทธิต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น กรรมสิทธิ์ การครอบครอง สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น  

                 5) บรรพ 5  เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับครอบครัว เริ่มตั้งแต่การหมั้น การสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา บิดามารดากับบุตร บุตรบุญธรรม ค่าอุปการะเลี้ยงดูและทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา

                 6) บรรพ 6  เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับมรดก โดยบัญญัติตั้งแต่การตกทอดแห่งทรัพย์มรดก การเป็นทายาท สิทธิโดยธรรมในการรับมรดก พินัยกรรม วิธีจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดก รวมตลอดถึงการจัดการมรดกที่ไม่มีผู้รับ

5. ความรับผิดในทางกฎหมาย

          5.1 ประเภทความรับผิด

                   เมื่อบุคคลกระทำการใดอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จะต้องรับผิดในการกระทำนั้น ความรับผิดของบุคคลในทางกฎหมายแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

               5.1.1 ความรับผิดทางอาญา

                     คือการที่บุคคลต้องได้รับโทษทางอาญาซึ่งมี 5 ประการด้วยกัน คือ ประหารชีวิต จำคุก กักขัง ปรับ และ ริบทรัพย์สิน  หากกระทำการอันเข้าองค์ประกอบต้องรับโทษทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าคนตาย ปลอมเอกสาร ฉ้อโกง เป็นต้น

               5.1.2 ความรับผิดทางแพ่ง คือความรับผิดของบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น ความรับผิดตามสัญญากู้ยืม สัญญาซื้อขาย เป็นต้น

          5.2 ข้อแตกต่างระหว่างความรับผิดทางแพ่งกับความรับผิดทางอาญา

                   ความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และความรับผิดทางอาญาตามประ มวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติอื่นที่มีโทษทางอาญา มีข้อแตกต่างที่สำคัญ ดังนี้

               5.2.1 ความประสงค์

                   ความรับผิดทางอาญา เป็นเรื่องที่รัฐมุ่งจะบำรุงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของบ้าน เมืองและสวัสดิภาพความปลอดภัยของประชาชนเป็นส่วนรวม ปกติเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย ทำร้ายร่างกาย ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ วางเพลิงเผาทรัพย์ ฉ้อโกง เป็นต้น 

                   ความรับผิดทางแพ่ง มีความประสงค์จะคุ้มครองป้องกันสิทธิของเอกชนต่อเอกชน ที่จะไม่ให้ผู้ใดละเมิดสิทธิหรือทำผิดสัญญา เมื่อมีการทำละเมิดสิทธิหรือทำผิดสัญญาเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเยียวยาหรือหาทางแก้ไขให้เป็นไปด้วยความเป็นธรรม ให้ผู้เสียหายได้รับการชดใช้ความเสียหายในทางแพ่งเป็นเรื่องที่กระทบต่อบุคคลโดยเฉพาะ ไม่กระทบกระเทือนสาธารณชนโดยทั่วไป ดังนั้น ในเรื่องความผูกพันระหว่างบุคคลในทางแพ่งนั้นรัฐจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องโดยตรง หากบุคคลใดได้รับความเสียหายเนื่องจากบุคคลอีกฝายหนึ่งทำละเมิดหรือทำผิดสัญญาก็ต้องไปว่ากล่าวกันเอง รัฐไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย

               5.2.2 สภาพบังคับ

                   ในทางอาญา สภาพบังคับมีเพื่อให้ผู้กระทำความผิดได้รับการทดแทนการกระทำที่ตนก่อ ขึ้น เพื่อแยกผู้กระทำผิดซึ่งเป็นภัยต่อสังคมออกไปเสียจากชุมชน และเพื่อให้มีความเกรงกลัวหลาบจำ สภาพบังคับในทางอาญาจึงเป็นการบังคับเอาต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ และอาจรวมถึงทรัพย์สินของผู้กระทำผิดอีกด้วย สภาพบังคับตามกฎหมายอาญานั้นกำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ว่า โทษสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิด มีดังนี้           (1) ประหารชีวิต (2) จำคุก            (3) กักขัง (4) ปรับ (5) ริบทรัพย์สิน

                   ในทางแพ่ง หากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเสียหายก็อาจขอให้บังคับอีกฝ่ายหนึ่งใช้ค่าสินไหม ทดแทนหรือรับผิดตามสัญญา ซึ่งสภาพบังคับในทางแพ่งนั้นจะมุ่งบังคับเอาจากทรัพย์สินของอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ไม่ไปบังคับถึงชีวิต ร่างกายหรือเสรีภาพของฝ่ายที่ผิดสัญญาหรือทำละเมิด

                   สภาพบังคับทางแพ่งมีหลายวิธี ดังต่อไปนี้

                        (1) กำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนนั้นตกเป็นโมฆะ คือ ตกเป็นอันเสียเปล่า ไร้ผล ไม่มีข้อผูกพันตามกฎหมายแต่อย่างใด ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456  บัญญัติว่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ไซร้ ท่านว่าเป็นโมฆะ

                        (2) กำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนนั้นตกเป็นโมฆียะ คือ การกระทำนั้นยังสมบูรณ์อยู่ แต่อาจจะมีการบอกล้างให้สิ้นผลในภายหลังได้ ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา21 บัญญัติว่า ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆ ที่ผู้เยาว์ได้กระทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้น เป็นโมฆียะ เว้นแต่จะได้บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

                        (3) การบังคับให้ชำระหนี้ เมื่อบุคคลใดเป็นลูกหนี้บุคคลอื่นก็ต้องมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องชำระหนี้ ถ้าลูกหนี้ไม่ยอมชำระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้อง(ฟ้องศาลขอให้บังคับ)ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 บัญญัติว่า ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ อนึ่งการชำระหนี้ด้วยการงดเว้นการอันใดอันหนึ่งย่อมมีได้

                        (4) การริบมัดจำ ในบางครั้งเมื่อมีการตกลงทำสัญญากัน เพื่อให้มีหลักประกันว่าจะมีการปฏิบัติตามสัญญากัน อาจมีการตกลงกันให้มีการวางเงินมัดจำไว้ เงินมัดจำนี้ถ้าผู้วางเป็นฝ่ายผิดสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิริบได้ ดังที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378 บัญญัติว่า มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังกล่าวต่อไปนี้ คือ          1) ให้ส่งคืนหรือจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนในเมื่อชำระหนี้ 2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติกรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบหรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น 3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ

                        (5) เรียกเบี้ยปรับ ในบางครั้งคู่สัญญาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะปฏิบัติตามสัญญาได้ จึงมีการกำหนดเบี้ยปรับขึ้นไว้ สำหรับให้ฝ่ายที่ผิดสัญญาต้องใช้ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง เบี้ยปรับจึงเท่ากับการกำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญาไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตามจะกำหนดเบี้ยปรับไว้สูงเกินกว่าค่าเสีย หายที่แท้จริงมิได้ เรื่องเบี้ยปรับนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 บัญญัติว่าถ้าลูกหนี้ใหัสัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ดี หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบเบี้ยปรับ ถ้าการจะชำระหนี้อันพึงจะทำนั้นได้แก่การงดเว้นการอันใดอันหนึ่ง หากทำการอันนั้นฝ่าฝืนมูลหนี้เมื่อใดก็ให้ริบเบี้ยปรับเมื่อนั้น

               5.2.3 ความรับผิด

                   ในทางอาญา บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาหรือกระทำโดยประมาทซึ่งกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อกระทำโดยประมาท

                   ในทางแพ่ง บุคคลจะต้องรับผิดชำระหนี้ทางแพ่งเพราะเหตุใดบ้างนั้นเป็นไปตามเรื่อง บ่อเกิดแห่งหนี้  ซึ่งได้แก่ นิติกรรมสัญญา จัดการงานอกสั่ง ละเมิด เป็นต้น

               5.2.4 ความรับผิดของทายาท

                            ในทางอาญา ถือหลักวาความรับผิดทางอาญาเป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครผิดก็ไปว่าเอาแก่คนนั้น ดังบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปด้วยเหตุแห่งการตายของผู้กระทำผิด 

                            ความรับผิดในทางแพ่ง ของฝ่ายที่ผิดสัญญาหรือฝ่ายที่ทำละเมิดอาจตกทอดไปยังทายาทของฝ่ายนั้นได้ด้วย แต่ทายาทนั้นไม่ต้องรับผิดเกินกว่าส่วนมรดกที่ตนได้รับ

6. ธุรกิจกับกฎหมาย

                 โดยที่มนุษย์ต้องแสวงหาสิ่งของและวัตถุเพื่อการยังชีพ ดังนั้นการทำมาหากินแลกเปลี่ยน สิ่งของจึงเป็นสิ่งจำเป็นของสังคม และได้กลายเป็นธุรกิจการค้าระหว่างผู้คนในชุมชน ระหว่างชุมชนต่อชุมชนตลอดจนระหว่างประเทศไปในที่สุด

             กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจในทันทีที่เริ่มต้นคิดว่าจะทำธุรกิจในรูปแบบใด หากเป็นกิจการขนาดเล็กและไม่ต้องการเสี่ยงภัย ไม่อยากยุ่งยากที่จะต้องไปจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วน บริษัท ก็ทำคนเดียว แต่ถ้าต้องการร่วมทุนกับคนอื่น  กฎหมายที่เกี่ยวข้องก็เพิ่มขึ้นมาอีก สัญญาหุ้นส่วน ข้อบังคับบริษัทที่กำหนดถึงสิทธิและหน้าที่ของหุ้นส่วนแต่ละฝ่าย เป็นเรื่องที่ต้องเจรจาและกำหนดแนวทางเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเอง นอกจากนี้ถ้าเป็นธุรกิจประเภทที่ต้องนำสินค้าออกสู่ท้อง ตลาด ก็จำเป็นต้องหามาตรการป้องกันสิทธิในเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตรและลิขสิทธิ์เพื่อช่วยมิให้สิ่งที่สร้างสรรค์ด้วยสติปัญญาของตนต้องถูกผู้อื่นขโมยไป

             นอกเหนือจากความสัมพันธ์ระหว่างหุ้นส่วน การที่ผู้ประกอบการจะต้องมีสัมพันธภาพทางการค้ากับลูกค้าหรือพ่อค้ารายอื่น ๆ รวมตลอดถึงหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องนั้น ความสัมพันธ์กันทุกด้านนี้สามารถสร้างปมหรือปํญหาทางกฎหมายได้ทั้งสิ้น หากนักธุรกิจหรือบุคคลในองค์กรธุรกิจนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติกรรมสัญญาหรือเอกเทศสัญญาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องในธุรกิจแขนงนั้น ๆ แต่นักธุรกิจที่รู้ข้อกฎหมายในสิ่งที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยย่อมสามารถรักษาฐานะของตนมิให้เสียเปรียบ หรือตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ร่วมค้าหรือคู่สัญญา ด้วยเหตุเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้

             กฎหมายที่เกี่ยวพันกับธุรกิจมากที่สุดคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่ว่าด้วยความสามารถของบุคคล การจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัท  นิติกรรมและหนี้ สัญญา สัญญาซื้อขาย ขายฝาก เช่าทรัพย์ เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน จ้างแรงงาน จ้างทำของ สัญญายืม ฝากทรัพย์ ค้ำประกัน จำนำ จำนอง ตัวแทน นายหน้า ตั๋วเงิน สัญญาใช้เงิน เช็ค ทั้งหมดนี้ประกอบกันจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจมากที่สุด นอกจากนี้กฎหมายเกี่ยวกับเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตร ก็เป็นสิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจอีกด้วย การศึกษาวิชากฎหมายธุรกิจจึงเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักเกณฑ์การทำนิติกรรม สัญญาประเภทต่าง ๆ ผลจากการกระทำที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ความรับผิดในกรณีผิดสัญญาตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจเพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน และในการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมป้องกันเหตุไว้ล่วงหน้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นสัญญาที่มีมูลค่าสูง ซึ่งย่อมเป็นการป้องกันความเสียหายมิให้เกิดขึ้นกับธุรกิจของตน.

7. การศึกษาวิชากฎหมาย

            ศาสตราจารย์ ดร. หยุด แสงอุทัย ได้ชี้แนะแนวทางในการศึกษาวิชากฎหมายไว้ดังนี้

                โดยที่กฎหมายไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีรูปร่าง สิ่งที่นักศึกษาพึงจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็คือตัวบท ฉะนั้น การศึกษาที่ถูกต้อง นักศึกษาจะต้อง               (1) มีความจำ (2) มีความเข้าใจ และ (3) ต้องสามารถนำตัวบทกฎหมายไปใช้ให้ถูกต้อง

            1. ต้องมีความจำ 

                 หมายความว่า จะต้องมีความจำในตัวบทของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติไว้ เช่น ในเรื่องนิติกรรมและสัญญา ซึ่งเป็นเรื่องของมูลหนี้ ในการนี้เพื่อให้ง่ายแก่การจดจำตัวบท ผู้สอนจะได้แยกแยะตัวบทออกเป็นหลักเกณฑ์เป็นข้อ ๆ ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวเรียกว่า องค์ประกอบ เช่น ถ้าจะพูดถึงเรื่องนิติกรรมก็ควรจะกำหนดองค์ประกอบจากตัวบทของมาตรา 149 ที่ว่า นิติกรรมหมายความว่าการใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ ดังนั้นการที่จะเป็นนิติกรรมได้นั้นต้องประกอบด้วย\

            (1) การกระทำ(ของมนุษย์)           (2) ที่ชอบด้วยกฎหมาย (3) ด้วยใจสมัคร (4) มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ

            ถ้าทำได้เช่นนี้ ผู้ใดจำตัวบทได้ ก็เท่ากับจำหลักเกณฑ์ได้ ถ้าจำหลักเกณฑ์ได้ก็เท่ากับจำตัวบทได้ จริงอยู่ในบางกรณีอาจารย์อาจต้องมีหลักเกณฑ์อื่นมาเพิ่มเติมก็เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นแต่ก็ต้องอธิบายให้เห็นว่าหลักเกณฑ์นั้นมาจากถ้อยคำของตัวบทตอนใด

            ข้อที่ควรระลึกมีว่า ในการตอบข้อสอบ นักศึกษาต้องยกเอาหลักเกณฑ์มาตอบ การตอบโดยไม่ยึดหลักเกณฑ์มาตอบจะไม่ได้รับผลดีในการตอบข้อสอบเลย และการที่ผู้สอนได้เอาตัวบทมาแยกเป็นหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบเป็นข้อ ๆ นั้น ก็เพราะมีความประสงค์ 3 ประการ ดังนี้

            ก. จำง่าย  เพราะหลักเกณฑ์ประกอบด้วยถ้อยคำสั้น ๆ

            ข. มีสมาธิ คือ ในขณะที่นักศึกษากำลังอธิบายหลักเกณฑ์ข้อใด ก็จะได้มีสมาธิมุ่งอธิบายหลักเกณฑ์ข้อนั้นข้อเดียว โดยจิตใจไม่พะวงถึงหลักเกณฑ์ข้ออื่นซึ่งยังไม่ถึงคราวที่จะต้องพิจารณา ทั้งนี้คือ ถ้าแยกหลักเกณฑ์เป็นข้อ ๆ ไปเช่นนี้แล้ว ความคิดของนักศึกษาก็จะไม่ปะปนยุ่งเหยิงสับสน คือค่อยคิดทีละข้อ ๆ

            ค. ประหยัดเวลา เช่น ในเรื่อง นิติกรรม ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว หาก นาย ก. เสนอขายเฮโรอีนแก่นาย ข. การดังกล่าวจะถือว่านาย ก. ก่อนิติกรรมหรือไม่นั้น การเสนอขายเป็น การกระทำ เข้าองค์ประกอบข้อแรก แต่การขายเฮโรอีนนั้นกฎหมายต้องห้าม ดังนั้นจึงไม่เข้าองค์ประกอบข้อ 2 ที่ว่าโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้นักศึกษาไม่ต้องพิจารณาองค์ประกอบข้ออื่นเพราะเมื่อไม่เข้าองค์ประ กอบข้อ 2 แล้วก็ไม่ถือเป็นนิติกรรม เพราะไม่ครบองค์ประกอบตามตัวบท

            ส่วนทำอย่างไรนักศึกษาแต่ละคนจึงจะจำตัวบทหลักเกณฑ์และคำอธิบายได้นั้น เป็นเรื่องที่จะพิจารณาว่าตนเองถนัดอย่างไร คือ บางคนอ่านดัง ๆ ก็จำได้ บางคนต้องย่อท่องจึงจะจำได้ บางคนต้องเอามาย่อและคัดลอกจึงจะจำได้ นักศึกษาถนัดอย่างใดก็ควรทำอย่างนั้น

          2. ต้องมีความเข้าใจ


                 การจดจำถ้อยคำในตัวบทก็ดี การจดจำหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบที่เอามาจากตัวบทก็ดี การจดจำคำอธิบายดังที่ปรากฏในคำบรรยายในห้องสอนก็ดี ตามที่พิมพ์ขึ้นก็ดี จะไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย ถ้านักศึกษามีความจดจำเหมือนนกแก้วคือไม่เข้าในข้อความแต่อย่างใดเลย เพราะการจำโดยปราศจากความเข้าใจนั้น ถ้าจำขาดหล่นไปสักคำสองคำ ที่จำนั้นก็ไร้ความหมาย โดยเหตุนี้ นักศึกษาจะต้องพยายามทำความเข้าใจความหมายของถ้อยคำในตัวบท ความหมายของหลักเกณฑ์หรือองค์ประ กอบตลอด จนคำอธิบายหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบนั้น ๆ

                 ปัญหามีว่า นักศึกษาจะทดลองตัวเองได้อย่างไรว่า มีความเข้าใจในถ้อยคำของตัวบท หลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบตลอดจนคำอธิบายหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบนั้น ๆ เห็นว่า ถ้านักศึกษาสามารถอธิบายตัวบท หลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบด้วยถ้อยคำของตนเองได้เมื่อใด เมื่อนั้นนับว่านักศึกษาได้เข้าใจคำอธิบายด้วยถ้อยคำตนเองได้ ถ้าเป็นแต่พยายามนึกว่าคำบรรยายใช้ถ้อยคำว่าอย่างไรก็ใช้ไปอย่างนั้น เมื่อนั้นขอได้โปรดทราบว่านักศึกษายังไม่เข้าใจคำอธิบายเลย นักศึกษาเป็นแต่จำได้เท่านั้น ซึ่งยังหาเป็นการเพียงพอสำหรับการศึกษากฎหมายไม่ ฉะนั้น ในเวลาว่าง ๆ นักศึกษาควรจะลองอธิบายข้อความตามที่ได้ฟังคำสอนหรือที่ได้อ่านคำบรรยายไปแล้วด้วยภาษาของตนเอง แม้จะเป็นการอธิบายอยู่ในใจก็จะเป็นการทดลองว่านักศึกษาเข้าใจหรือไม่

                 เมื่อปรากฏว่านักศึกษายังไม่เข้าใจคำอธิบายตัวบท หลักเกณฑ์ หรือองค์ประกอบแล้ว ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจด้วยตนเองโดยอ่านหลาย ๆ ครั้ง แต่ถ้ายังไม่เข้าใจขอได้โปรดมาหาครูผู้สอนเพื่อจะได้อธิบายให้แจ่มแจ้ง ขอได้โปรดอย่าเก็บเอาความไม่เข้าใจไว้ เพราะจะทำให้เป็นการพอกหรือสะสมความไม่เข้าใจเหมือนดินพอกหางหมู ซึ่งมีแต่จะมากขึ้นทุก ๆ วิชากฎหมายมีข้อความเกี่ยวโยงกัน ถ้านักศึกษาไม่เข้าใจตอนต้นก็อาจไม่เข้าใจตอนหลัง ๆ ได้  ฉะนั้น อย่าปล่อยให้ความไม่เข้าใจเกิดแก่นักศึกษาตอนหนึ่งตอนใดเป็นอันขาด มิฉะนั้นเวลาที่นักศึกษาสอบไล่ นักศึกษาจะรู้สึกหวั่นวิตก เพราะเกรงว่าอาจพบข้อสอบไล่ ซึ่งออกมาตอนที่นักศึกษายังไม่เข้าใจก็ได้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีสมาธิในการที่จะเขียนคำตอบออกมาให้ได้ผลดี

          3. ต้องสามารถนำตัวบทกฎหมายไปใช้ให้ถูกต้อง

                 มีความหมาย 2 ประการ คือ

                 (1) สามารถตอบปัญหาในการสอบไล่ได้โดยถูกต้อง เพราะนักศึกษาเข้าใจตัวบทดีอยู่แล้ว         (2) สามารถจะนำความรู้ในทางกฎหมายไปใช้แก่ข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นภายหน้าได้

                 ในการใช้กฎหมายนี้ มีข้อที่จะต้องพิจารณา 4 ข้อตามลำดับดังนี้       1. กรณีตอบปัญหาในการสอบไล่ หรือตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องอะไร ?    2. กรณีเรื่องนั้น ๆ มีองค์ประกอบหรือหลักเกณฑ์ของกฎหมายว่าอย่างไร ?        3. ข้อเท็จจริงตามปัญหาข้อสอบหรือที่เกิดขึ้นจริง ๆ เข้าองค์ประกอบ หรือหลักเกณฑ์นั้น    หรือไม่ ?   4. ในกรณีที่เข้าหรือไม่เข้าองค์ประกอบหรือหลักเกณฑ์ของกฎหมายจะมีผลเป็นประการใด?

             ตัวอย่าง

             ก. เข้าไปในร้านขายผ้า ถาม ข. ผู้ขายว่า ผ้าที่ ก. เลือกและชอบนี้ราคาเมตรละเท่าใด ก. ต้องการซื้อจำนวน 3 เมตร  ข. บอกว่าราคาเมตรละ 10 บาท ก. บอกว่าแพงไป ขอซื้อในราคาเมตรละ 5 บาท ข. ไม่ตกลง พอ ก. เดินออกจากร้าน ข. ก็บอกขายในราคาเมตรละ 5 บาท  คราวนี้ ก. บอกว่าไม่ซื้อ เพราะ ข. ไม่ตกลงขายตั้งแต่แรก ดังนี้ ข. จะฟ้องขอให้ ก. ชำระราคาได้หรือไม่ ?

                 วิธีตอบข้อสอบหรือวิธีวิธีวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริง ก็คือ

                        1. เป็นเรื่องอะไร ก็ต้องตอบว่า เป็นเรื่องสัญญาซื้อขาย ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายระหว่าง ก. กับ ข. เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะ ข. จะฟ้องขอให้ ก. ชำระราคาได้ย่อมขึ้นอยู่ที่ว่า สัญญาซื้อขายเกิดขึ้นหรือไม่

                        2. กรณีเรื่องการเกิดขึ้นของสัญญาซื้อขายนี้มีองค์ประกอบหรือหลักเกณฑ์อย่างไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาจะต้องประกอบด้วยคำเสนอและคำสนอง และคำเสนอและคำสนองนี้จะต้องสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาตรา 359 วรรค 2 บัญญัติว่า คำสนองอันมีข้อความเพิ่มเติม มีข้อจำกัด หรือมีข้อแก้ไขอย่างอื่นประกอบด้วยนั้น ท่านให้ถือว่าเป็นคำบอกปัดไม่รับ ทั้งเป็นคำเสนอขึ้นใหม่ในตัว นอกจากนี้ มาตรา 357 บัญญัติว่า คำเสนอใดเขาบอกปัดไปยังผู้เสนอแล้ว ฯลฯ คำเสนอนั้นท่านว่าเป็นอันสิ้นสุดความผูกพันแต่นั้นไป

                        3. ข้อเท็จจริงตามปัญหาเข้าองค์ประกอบหรือไม่  จะเห็นว่าการที่ ก.  ต่อราคาลงมาเหลือเมตรละ 5 บาทนั้น เป็นคำแก้ไขคำเสนอของ ข. ฉะนั้น จึงมีลักษณะเป็นการบอกปัดไม่รับคำเสนอพร้อมกับเป็นคำเสนอขึ้นมาใหม่ แต่คำเสนอของ ก . นี้ ข. ผู้ขายได้บอกปัดเสียแล้วโดย ข. ไม่ตกลงขาย กรณีจึงเข้ามาตรา 357 ดังกล่าวในข้อ 2 ฉะนั้นคำเสนอของ ก. จึงไม่ผูกพัน ก. การที่ ข. กลับใจขายของในราคาเมตรละ 5 บาทในภายหลังจึงเป็นแต่เพียงคำเสนอของ ข. ฝ่ายเดียว โดย ก. ไม่ได้สนองรับ สัญญาซื้อขายจึงไม่ได้เกิดขึ้น

                        4. เมื่อปรับข้อเท็จจริงตามปัญหากับองค์ประกอบ ผลจะเป็นประการใด  จะเห็นได้ว่าเมื่อสัญญาซื้อขายระหว่าง ก. และ ข. ไม่เกิดขึ้น ข. จึงฟ้องเรียกเงินค่าผ้าจาก ก. ไม่ได้

                 ความขยันหมั่นเพียรเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้นักศึกษาใช้กฎหมายที่ตนจดจำและเข้าใจได้โดยถูกต้อง คำบรรยายและตำราย่อมีอุทาหรณ์ประกอบ ซึ่งถ้านักศึกษาหยิบยกอุทาหรณ์ขึ้นมาพิจารณาเปรียบเทียบกับหลักเกณฑ์ นักศึกษาจะเห็นว่าการนำกฎหมายจริง ๆ มาใช้ในทางปฏิบัติมีอยู่อย่างไร นอกจากนี้ในกรณีที่พบตัวอย่างจริง ๆ ของชีวิต เช่น นักศึกษาซื้อก๋วยเตี๋ยวกิน นักศึกษาก็ต้องลองคิดดูว่าคำพูดตอนใดเป็นคำเสนอ ตอนใดเป็นคำสนอง ซึ่งเป็นเรื่องของสัญญา ถ้านักศึกษาจะมีความขยันและพิจารณาดูจะเห็นว่าสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องของกฎหมายทั้งสิ้น ตั้งแต่บิดามารดาให้เงินมาโรง เรียน นักศึกษานั่งรถประจำทางมาเรียนหนังสือ ซื้อสมุดกระดาษปากกกามาเขียน ถ้านักศึกษาหัดคิดทำนองดังกล่าวนี้ด้วยความขยันหมั่นเพียรแล้วจะรู้สึกว่าการที่จะนำกฎหมายมาใช้โดยถูกต้องนั้นไม่ยาก ลำบากเท่าใดนักและการหัดคิดเสียในขณะที่ศึกษาก็ยังเป็นการฝึกฝนมันสมองเวลาสอบไล่ก็คิดได้โดยเร็ว

             ขอสรุปว่า ต้องจำให้ได้ ต้องเข้าใจให้ดี และใช้ให้ถูก