ประเภทของคดีอาญา
การแบ่งประเภทคดีอาญานั้นพิจารณาจากอำนาจในการดำเนินคดีอาญา
ซึ่งพิจารณาจากผู้เสีย หายเป็นสำคัญ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น - ประเภท คือ คดีอาญาความผิดอันยอมความได้
คดีอาญาความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
แต่ละประเภทคดีมีรายละเอียดพอสังเขป ดังนี้
1. คดีอาญาความผิดอันยอมความได้
ความผิดอันยอมความได้
หรือความผิดต่อส่วนตัว
หมายถึงคดีอาญาประเภทซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเอกชนคนหนึ่งคนใดเป็นส่วนตัว
มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐหรือสังคมเป็นและความ ผิดใดจะเป็นความผิด
อาญาอันยอมความได้นั้น กฎหมายจะต้องระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ เช่น
ความผิดฐานยักยอก ฉ้อโกง หมิ่นประมาท ทำให้เสียทรัพย์ อนาจาร ข่มขืนกระทำชำเรา
ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงิน เป็นต้น
ความผิดอาญาอันยอมความได้นี้เจ้าพนักงานของรัฐจะดำเนินคดีได้ก็ต่อเมื่อผู้เสียหายร้องทุกข์
(แจ้งความ) ต่อเจ้าพนักงานตามกฎหมายเสียก่อน และต้องร้องทุกข์ภายในกำหนด 3 เดือน
นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด
สำหรับคดีความผิดอันยอมความได้นี้ หากผู้เสียหายไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป
ก็สามารถถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความได้
ซึ่งก็จะเป็นผลให้คดีดังกล่าวระงับไป
2. คดีอาญาความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้
ความผิดอาญาอันยอมความไม่ได้หรือความผิดอาญาแผ่นดิน
หมายถึงคดีอาญาประเภทที่นอก จากจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรงแล้ว
ยังก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและสังคมโดยส่วนรวมอีกด้วย
ความผิดอาญานอกจากที่กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นความผิดอันยอมความได้แล้ว
จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดินทั้งสิ้น
เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์
วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าคนอื่น วาง เพลิงเผาทรัพย์
ขับรถประมาท เป็นต้น ซึ่งความผิดอาญาแผ่นดินนี้
แม้ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ก็ไม่ทำให้คดีระงับ
เจ้าพนักงานของรัฐก็สามารถดำเนิน คดีกับผู้กระทำผิดต่อไปได้
โดยที่ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ก่อนแต่อย่างใด
3. คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา หมายถึง
“คดีแพ่งที่ฟ้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องอันมีมูลฐานความรับผิดเนื่องมาจากการกระทำความผิดทางอาญา” ซึ่งหมายความว่าการกระทำความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งแก่ผู้เสียหาย
เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายผู้เสียหายจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากการกระทำความผิดนั้น
เช่น นายแดงขับรถชนนายดำ จนนายดำได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในคดีอาญานายแดงย่อมมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
ส่วนในทางแพ่งการที่แดงขับรถชนดำด้วยความประมาทเป็นการละเมิดจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
จะเห็นได้ว่าสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนนั้นมีมูลมาจากการที่นายแดงกระทำความผิดต่อนายดำนั้นเอง
ชั้นก่อนฟ้องคดี
ก่อนที่คดีอาญาจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลต้องผ่านกระบวนหลายขั้นตอน
โดยแต่ละขั้นตอนสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานทั้งพยานหลักฐาน
เพื่อให้การดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดนั้นมีน้ำหนักน่าเชื่อได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดจริง
อันจะนำไปสู่การฟ้องร้องและพิจารณาลงโทษในอนาคต โดยการดำเนินคดีอาญาของไทยนั้น
สามารถนำคดีอาญาไปสู่ศาลได้ 2
วิธี แยกพิจารณาดังนี้
1. การฟ้องคดีโดยผู้เสียหาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย
ได้กำหนดให้ผู้เสียหายในคดีอาญามีอำนาจในการฟ้องคดีอาญาต่อศาลด้วย[5] ซึ่งถือเป็นการให้สิทธิแก่ผู้เสียหายในการดำเนินคดีอาญาเองได้
โดยไม่ต้องพึ่งรัฐในการดำเนินคดีอาญาให้ โดยผู้เสียหายสามารถทำคำฟ้องไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีนั้นได้เลย
แต่การฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหายนั้น มีหลักเกณฑ์ที่ผู้เสียหายจะต้องคำนึงดังนี้
บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้เสียหายตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ม.2(4) "ผู้เสียหาย" หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหาย
เนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจ
จัดการแทนได้ดั่งบัญญัติไว้ใน มาตรา 4
มาตรา 5
และ มาตรา 6
ดังนั้นผู้เสียหายในคดีอาญาจึงมีด้วยกัน 2
ประเภท คือ
1)
ผู้เสียหายที่แท้จริง
2)
ผู้ที่มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย
โดยการฟ้องคดีอาญาโดยผู้เสียหายนั้นกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้อง
ก่อนที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาเสมอ
ซึ่งแตกต่างจากคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นผู้ฟ้องคดี (การฟ้องคดีอาญาโดยรัฐ)
ที่ศาลไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนศาลสามารถรับฟ้องไว้พิจารณาได้เลย
อยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 165 วรรคท้าย ในคดีราษฎรเป็นโจทก์
ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป
กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลย ทราบจำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้อง
โดยตั้งทนายให้ซักค้านพยาน โจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้
หรือจำเลยจะไม่มาแต่ตั้งทนายมาซักค้านพยาน โจทก์ก็ได้
ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนที่ศาลประทับ
ฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น
2. การฟ้องคดีอาญาโดยรัฐ
การฟ้องคดีอาญาโดยรัฐถือเป็นการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐเป็นผู้ดำเนินคดีอาญาทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่การร้องทุกข์กล่าวโทษ เมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้ว
พนักงานสอบสวนจะเริ่มทำการสอบสวนความผิด โดยออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหามาให้การ
หากไม่มาตามหมายก็ต้องมีการออกหมายจับต่อไป ซึ่งการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ
1) ขั้นตอนการร้องทุกข์กล่าวโทษ
ในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้
ผู้เสียหายต้องไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่รู้ถึงความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด
มิฉะนั้นถือว่าคดีขาดอายุความ เพราะความผิดต่อส่วนตัวนี้
ความประสงค์ของผู้เสียหายถือเป็นเงื่อนไขในการดำเนินคดี
หากผู้เสียหายไม่ร้องทุกข์พนักงานสอบสวนก็ไมสามารถดำเนินคดีอาญาได้ แต่หากความผิดนั้นเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน
หรือความผิดอันยอมความไม่ได้ ผู้เสียหายไม่จำต้องไปร้องทุกข์ก่อน หากมีการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนก็สามารถดำเนินคดีอาญาได้เลย
2) ขั้นตอนการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน
เมื่อมีการร้องทุกข์กล่าวโทษแล้วขั้นตอนต่อไปคือการสอบสวน
ในการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐนั้นกฎหมายห้ามไม่ให้พนักงานอัยการฟ้องคดีหากคดีนั้นไม่ได้มีการสอบสวนโดยชอบ
ซึ่งแตกต่างจากการฟ้องคดีอาญาโดยเอกชนผู้เสียหายที่ไม่จำต้องมีการสอบสวนก่อน
เอกชนผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีต่อศาลได้ทันที
แต่คดีอาญาที่ผู้เสียฟ้องเองนั้นต้องมีการไต่สวนมูลฟ้องเสมอทั้งนี้เพื่อเป็นการกลั่นกรองคดีที่จะเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาล
โดยผู้ที่มีอำนาจทำการสอบสวนคือพนักงานสอบสวน
การสอบสวนนั้นคือการที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมหลักฐานทุกชนิด เท่าที่สามารถจะทำได้
เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหา
เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา
การดำเนินการในชั้นสอบสวนนั้นพนักงานสอบสวนจะต้องทำการแจ้งข้อหาให้แก่ผู้ต้องหาได้ทราบว่าเขาทำผิดข้อหาอะไร
และจะต้องแจ้งสิทธิต่าง ๆ ตามกฎหมายให้แก่ผู้ต้องหาทราบด้วยเช่นกัน เช่น
สิทธิที่จะไม่ให้การใด ๆ เลยก็ได้ สิทธิในการมีทนายความหากผู้ต้องหาไม่มีทนายความรัฐก็ต้องจัดหาให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
รวมถึงการได้รับการปล่อยชั่วคราวในระหว่างการสอบสวน
ในกรณีที่มีความจำเป็นจะต้องควบคุมผู้ต้องหาไว้เพื่อทำการสอบสวนต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินคดี
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ต้องหานั้นได้มีสิทธิในการต่อสู่คดีได้อย่างเต็มที่
เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จ
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบต้องสรุปสำนวนการสอบสวนพร้อมทั้งความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการ
เพื่อให้พนักงานอัยการสั่งคดีต่อไป
3) ขั้นตอนการสั่งคดีของพนักงานอัยการ
การสั่งคดีเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการซึ่งทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นทนายความแผ่นดิน
ดำเนินคดีในชั้นศาลแทนรัฐ การสั่งคดี คือ
การที่พนักงานอัยการใช้ดุลพินิจการสั่งคดีอาญาว่าคดีอาญาที่เกิดขึ้นนั้นมีมูลที่จะฟ้องร้องต่อศาลต่อไปหรือไม่
โดยพิจารณาจากสำนวนการสอบสวนที่พนักงายสอบสวนได้ส่งมา
พร้อมพยานหลักฐานที่รวบรวมมาทั้งหมด
หากพนักงานอัยกาเห็นว่าคดีอาญานั้นไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง(เห็นว่าผู้ต้องหาไม่ได้ทำผิด)
พนักงานอัยการอาจมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมได้
หรือหากว่าพนักงานอัยการเห็นว่าตามสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานนั้นเป็นที่เชื่อได้ว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดจริง
ก็มีคำสั่งฟ้องคดีและนำตัวผู้ต้องหาไปส่งฟ้องยังศาลที่มีเขตอำนาจต่อไป
เนื่องจากการสั่งคดีของพนักงานอัยการของไทยนั้นเป็นการสั่งคดีตามหลัก
(Opportunity
Principle) ซึ่งให้ดุลพินิจแก่พนักงายอัยการในการสั่งคดี
แม้คดีนั้นปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดจริง
พนักงานอัยการก็อาจมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้ เช่น
พนักงานอัยการเห็นว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดจริง
แต่การฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลจะไม่เป็นประโยชน์สาธารณะ ก็อาจมีคำสั่งไม่ฟ้องได้
3. ศาลที่รับฟ้อง
การจะยื่นฟ้องที่ศาลใดให้พิจารณาว่าความผิดเกิดขึ้นในเขตศาลใดหรือจำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับในเขตศาลใดหรือพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนในเขตศาลใด
ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณาคดี
ในกรุงเทพมหานครศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้แก่
ศาลอาญา ศาลอาญากรุง เทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัดมีนบุรี
และศาลแขวงในเขตกรุงเทพมหานคร
ในต่างจังหวัด ได้แก่ ศาลจังหวัด
และศาลแขวง
การแบ่งแยกอำนาจศาลระหว่างศาลทั่วไปกับศาลแขวงพิจารณาจากอัตราโทษ
กล่าวคือ คดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000
บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจของศาลแขวง
(ในจังหวัดที่ยังไม่มีศาลแขวงเปิดทำการ ศาลจังหวัดจะนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการผัดฟ้อง การฟ้องและการพิพากษาคดีด้วยวาจา)
ชั้นพิจารณาคดีและพิพากษา
เมื่อคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลแล้ว
หรือในคดีที่เอกชนผู้เสียหายยื่นฟ้องต่อศาลและศาลได้ไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูล
จึงมีประทับรับฟ้องไว้พิจารณา ถือได้ว่าคดีอาญานั้นเข้าสู่การพิจารณาของศาลแล้ว
การพิจารณาคดีอาญาในศาลนั้นต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา
โดยที่การค้นหาความจริงในคดีเป็นเรื่องของคู่ความ(โจทก์และจำเลย)
โดยที่ศาลวางตัวเป็นกลางคอยทำหน้าที่ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดกติกา
ซึ่งมีลักษณะเป็นการพิจารณาคดีในระบบกล่าวหา ซึ่งแยกขั้นตอนในชั้นศาลออกเป็น 2 ขั้นตอน
คือ ขั้นตอนของการพิจารณา (สืบพยาน) และขั้นตอนของการทำคำพิพากษา
ข้อควรปฏิบัติเมื่อศาลสั่งประทับฟ้อง
เมื่อศาลประทับฟ้องแล้ว
หากจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดีควรปฏิบัติ ดังนี้
หากศาลมีคำสั่งขังจำเลย
จำเลยสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาล
ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะได้รับอนุญาตให้ประกันตัวในชั้นสอบสวนหรือชั้นฝากขังหรือไม่ก็ตาม
หาทนายความเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดีต่อไป
(โดยติดต่อหาทนายความด้วยตนเองหรือขอ ให้ศาลตั้งทนายความให้)
ตรวจดูสำนวนคดีและสิ่งที่โจทก์ยื่นเป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาคดี
การพิจารณาและสืบพยานในศาล
จะกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย
โดยศาลจะอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังและศาลจะสอบถามจำเลยว่ากระทำความผิดจริงหรือไม่และจดคำให้การของจำเลยไว้
กรณีจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลจะพิพากษาคดีโดยไม่ต้องสืบพยานต่อไปก็ได้
เว้นแต่คดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานหลัก
ฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลย
กรณีจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อ ไป โดยศาลจะสั่งนัดสืบพยานโจทก์ก่อน
เสร็จแล้วจึงนัดสืบพยานจำเลย หลังจากสืบพยานของทั้ง 2
ฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วศาลจะนัดฟังคำพิพากษา
โจทก์มีหน้าที่ต้องมาศาลทุกนัด
(นัดสืบพยานโจทก์) หากไม่มา ศาลต้องยกฟ้อง
เว้นแต่ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มาศาลโดยมีเหตุสมควร ศาลจะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้
หากจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
ศาลจะออกหมายจับจำเลยและปรับนายประกัน (ในกรณีจำเลยได้รับการประกันตัว)
และหากศาลไม่แน่ใจว่าจะจับจำเลยได้เมื่อใดก็จะจำหน่ายคดีชั่วคราวจนกว่าจะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาคดีต่อไป
การสืบพยาน
คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนจำเลย และเมื่อโจทก์สืบ
พยานเสร็จแล้ว จำเลยจึงนำพยานเข้าสืบต่อไป
ก่อนสืบพยานโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงเปิดคดี
และหลังจากสืบพยานหลักฐานทั้ง 2
ฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงปิดคดี
คำพิพากษาในคดีอาญา
คำพิพากษาของศาลอาจแยกเป็นพิพากษายกฟ้องหรือพิพากษาลงโทษ
โทษที่ศาลพิพากษามี 5 สถาน
ได้แก่
1.
โทษประหารชีวิต ดำเนินการด้วยวิธีฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย
2.
โทษจำคุก
จำเลยจะถูกจำคุกไว้ในเรือนจำตามกำหนดเวลาที่ศาลพิพากษา
โดยที่อาจมีการร้องขอให้ศาลสั่งทุเลาโทษจำคุกไว้ก่อนได้ เช่น
กรณีของจำเลยเป็นคนวิกลจริต อาจมีการร้องขอให้ศาลทุกเลาการจำคุกไว้ก่อน
จนกว่าจำเลยจะหายจากอาการวิกลจริต
การคำนวณระยะเวลาจำคุกจะนับวันเริ่มจำคุกรวมเข้าด้วยและนับเป็น
1
วันเต็ม โดยไม่คำนึงถึงจำนวนชั่วโมง ถ้าระยะเวลาจำคุกกำหนดเป็นเดือนให้นับ 30 วันเป็น 1 เดือน
ถ้ากำหนดเป็นปี คำนวณตามปีปฏิทิน
3.
โทษกักขัง
จำเลยจะถูกกักขังไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ เช่นสถานีตำรวจ
หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
4.
โทษปรับ จำเลยต้องชำระเงินตามจำนวนที่ศาลมีคำพิพากษา
หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับภาย ใน 30
วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาจำเลยอาจถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือถูกกักขังแทนค่าปรับ
(ถืออัตรา 500
บาทต่อหนึ่งวัน และห้ามกักขังเกินกำหนด 1
ปี เว้นแต่ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่ 200,000
บาทขึ้นไปจะสั่งกักขังแทนค่าปรับเกินกว่า 1
ปีแต่ไม่เกิน 2
ปีก็ได้)
อย่างไรก็ตามหากศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะไม่ชำระค่าปรับ
ศาลอาจสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่า ปรับไปก่อนก็ได้
และหากจำเลยเคยถูกควบคุมตัวมาก่อนไม่ว่าจะเป็นชั้นสอบสวนหรือชั้นพิจารณาของศาล
ศาลจะนำวันที่จำเลยถูกควบคุมตัวมาหักวันคุมขังให้ด้วย
5.
โทษริบทรัพย์สิน
หากเป็นทรัพย์ซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยการกระทำความผิด
ศาลมีอำนาจสั่งริบได้เว้นแต่ทรัพย์เหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่แท้
จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด
อาจยื่นคำร้องขอคืนต่อศาลได้
ในกรณีที่เป็นทรัพย์
สินซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดให้ศาลสั่งริบเสียทั้งสิ้น
ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้ใดก็ตามและผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงไม่อาจร้องขอคืนได้
คำพิพากษาของศาลจะทำเป็นหนังสือ ยกเว้นในศาลแขวง
คำพิพากษาจะทำด้วยวาจาก็ได้โดยบันทึกไว้พอให้ได้ใจความ
จำเลยจะต้องมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งตามวันเวลาที่ศาลนัด
ถ้าจำเลยไม่มาและศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือจงใจไม่มาศาล ศาลจะออกหมายจับจำเลยเพื่อมาฟังคำพิพากษา
ถ้ายังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลภายในกำหนด 1
เดือน นับแต่วันออกหมายจับ ศาลอาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นลับหลังจำเลยได้
โดยถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นโดยชอบแล้ว
การอุทธรณ์ ฎีกา
1.
เมื่อศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว
คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาฟังหากยื่นไม่ทันภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว
อาจยื่นคำร้อยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาได้
แต่ต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วแต่กรณี
โดยต้องอ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ทันภายในกำหนดด้วย
2. การอุทธรณ์จะต้องเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง
ซึ่งปัญหาเกี่ยวกับข้อกฎหมายนั้นคู่ความสามารถอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หรือฎีกาได้ทุกกรณี
แต่ปัญหาข้อเท็จจริงนั้นคู่ความจะต้องพิจารณาตาม ม. 193 ทวิ[15] ในกรณีของการอุทธรณ์
และต้องพิจารณาตาม ม. 218[16]
3. คำฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีพอสมควร
เช่น ชื่อคู่ความ ผู้อุทธรณ์ ฎีการายละเอียดเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์
คำให้การจำเลยในชั้นต้น หรือในชั้นอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณามีอย่างไร
และศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาว่าอย่างไร
ผู้อุทธรณ์หรือฎีกาไม่เห็นด้วยหรือโต้แย้งคำพิพากษาดังกล่าวนั้นอย่างไร ประเด็นใดพร้อมด้วยเหตุผลและคำขอท้ายอุทธรณ์
ฎีกา เช่น ให้แก้หรือกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์
การยื่นคำฟ้องอุทธรณ์หรือคำฟ้องฎีกา
ทำได้โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์
คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 15
วันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
***ข้อมูลนี้เป็นการให้บริการเชิงข้อมูล
ไม่สามารถใช้อ้างอิงทางกฎหมายได้***