เดิมก่อนมีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในปี
2546
จำเลยที่ถูกลงโทษปรับและไม่ชำระค่า ปรับ
จะต้องถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือถูกกักขังแทนค่าปรับ ในทางปฏิบัติมีจำเลยที่ศาลพิพากษาให้ลงโทษปรับแต่ไม่มีเงินชำระค่าปรับต้องถูกกักขังแทนค่าปรับเป็นจำนวนมาก
ทำให้ครอบครัวเดือดร้อน และรัฐต้องรับภาระในการดูแลเพิ่มมากขึ้น
ต่อมาในปี 2546
ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญากำหนดให้ในกรณีที่ศาลพิพากษาปรับผู้กระทำความผิดไม่เกิน
80,000 บาท ผู้ต้องโทษปรับอาจจะร้องขอต่อศาลเพื่อทำงานบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์ได้
นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของจำเลยที่ถูกลงโทษปรับแต่ไม่มีเงินเสียค่าปรับ
ซึ่งวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่แก้ไขครั้งนี้
ก็เพื่อสร้างจิตสำนึกที่ดีให้แก่ผู้ต้องโทษปรับมีโอกาสเข้ามามีบทบาทช่วยเหลือสร้างคุณประโยชน์แก่สังคม
เป็นการบำเพ็ญประโยชน์ทดแทนหรือชดใช้ความเสียหายที่ผู้นั้นก่อขึ้นแก่สังคม
และเป็นการลดความแออัดของสถานที่กักขัง
ประหยัดงบประมาณของรัฐที่ต้องเลี้ยงดูผู้ถูกกักขังแทนค่าปรับ
การให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
การทำงานบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับนั้น
เช่น งานทำความสะอาด งานพัฒนาสถานที่สาธารณะ งานปลูกป่า
ดูแลสวนป่าหรือสวนสาธารณะ งานจราจร
หรืองานให้ความบันเทิงแก่คนพิการ คนชรา เด็กกำพร้า
หรือผู้ช่วยในสถานสงเคราะห์หรือสถานพยาบาล งานสอนหนังสือ งานค้นคว้าวิจัย หรือแปลเอกสาร
การขอทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับหรือสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับ
1. ต้องเป็นคดีที่ศาลพิพากษาปรับจำเลยเป็นเงินไม่เกิน
80,000 บาท หมายความว่า
ในคดีเรื่องนั้นศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยโดยมีโทษปรับรวมอยู่ด้วย เช่น
กรณีที่ศาลลงโทษปรับจำเลยสถานเดียว หรือกรณีที่ศาลลงโทษทั้งจำคุกและปรับ
แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ และโทษปรับนั้นต้องไม่เกิน 80,000
บาท ซึ่งคำนวณจากค่าปรับจากหลังที่ศาลลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่ง คงปรับจำเลย 50,000 บาท กรณีเช่นนี้จำเลยมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลขอทำงานบริการสังคมได้
และโทษปรับไม่เกิน 80,000 บาท ต้องดูทุกข้อหารวมกัน เช่น
ศาลปรับกระทงหนึ่ง 50,000 บาท อีกกระทงหนึ่ง 50,000 บาท ดังนี้ แม้แต่ละกระทงจะไม่เกิน 80,000 บาท แต่เมื่อรวมแล้วศาลปรับ 100,000 บาท
ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะทำบริการสังคมแทนค่าปรับ
2.จำเลยผู้ยื่นคำขอต้องเป็นบุคคลธรรมดา
มิใช่นิติบุคคล
3. จำเลยต้องไม่มีเงินชำระค่าปรับ ถ้าจำเลยมีเงินเพียงพอชำระค่าปรับจะขอทำงานบริการสังคมแทนไม่ได้
ต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้น
แม้เป็นโทษปรับตามคำพิพากษาของศาลชั้นอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นที่พิพากษาคดีนั้นต้องเป็นผู้สั่งคำร้องในส่วนของแบบคำร้องนั้น จำเลยอาจจะขอได้จากศาลแต่ละแห่ง โดยต้องเขียนตามแบบพิมพ์คำร้อง
มีรายละเอียดเกี่ยวกับโทษปรับตามคำพิพากษา และประเภทของงานที่จำเลยประสงค์จะทำในแบบพิมพ์ของศาล
คำร้อง บส.๑ และระบุรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับประวัติของจำเลยในแบบพิมพ์ (บ.ส.๒) และจำเลยควรจะวาดแผนที่บ้านของตนท้ายแบบพิมพ์เพื่อสะดวกในการติดตาม
4. หากในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาปรับ
หากผู้ต้องโทษปรับมิได้ร้องขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับในขณะพิพากษาคดี
ศาลพึงสอบถามว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินชำระค่าปรับหรือไม่
และแจ้งให้ทราบถึงสิทธิที่จะขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ”
หลักเกณฑ์พิจารณา
การที่ศาลจะพิจารณาว่าสมควรอนุญาตให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับหรือไม่
มีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. ฐานะการเงินของจำเลย
พิจารณาจากรายได้ ทรัพย์สิน ความเป็นอยู่ ภาระหนี้สินต่าง ๆ
ว่าจำเลยมีเงินพอเสียค่าปรับขณะยื่นคำร้องหรือไม่
2. ประวัติของจำเลย พิจารณาว่าจำเลยมีประวัติเคยกระทำความผิดหรือเคยต้องโทษมาก่อนหรือเป็นผู้กระทำความผิดเป็นอาจินต์จนติดเป็นนิสัย
รวมทั้งการศึกษา อาชีพ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ครอบครัว
สภาพแวดล้อมและข้อมูลส่วนบุคคล
3. สภาพความผิด
ศาลจะพิจารณาถึงความหนักเบาของข้อหา ความรุนแรงในการกระทำความผิด สภาวะจิตใจ
กระทำความผิดโดยเจตนาหรือโดยประมาท ความเสียหายที่เกิดจากการกระทำความผิด
ส่วนสภาพความผิดที่ไม่ควรอนุญาตให้ทำงานแทนค่าปรับ
เช่น ความผิดตามกฎหมายสถาบันการเงินและตลาดหลักทรัพย์ กฎหมายศุลกากร
การฉ้อโกงประชาชน การค้าหญิงและเด็ก
การค้ายาเสพติดหรือฟอกเงิน
ระยะเวลาในการทำงานแทนค่าปรับ
เมื่อศาลอนุญาตให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณะประโยชน์แทนค่าปรับแล้ว
ในส่วนระยะ เวลาในการทำงานแทนค่าปรับ
จำนวนวันที่ศาลจะสั่งให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณะประ โยชน์แทนค่าปรับ
จะพิจารณาค่าปรับที่ศาลพิพากษาปรับจำเลย โดยถือในอัตรา 500 บาทต่อ 1 วัน คือนำเงินค่าปรับสุทธิมาตั้งหารด้วย 500 บาท จะได้จำนวนวันที่จำเลยต้องทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ
สำหรับจำนวนชั่วโมงที่ถือเป็นการทำงาน 1 วันนั้น
ตามระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมเรื่องการให้ทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับ
กำหนดไว้ดังนี้
1. การทำงานช่วยเหลือ
ดูแล อำนวยความสะดวก หรือให้ความบันเทิงแก่คนพิการ คนชรา เด็กกำพร้า หรือผู้ป่วยในสถานสงเคราะห์ หรือสถานพยาบาล
งานวิชาการหรืองานบริการด้านการศึกษา จำนวน 2 ชั่วโมง
เป็นการทำงาน 1 วัน
2. การทำงานวิชาชีพ งานช่างฝีมือ หรืองานที่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ
เช่น งานช่างฝีมือเครื่องยนต์ ก่อสร้าง คอมพิวเตอร์ หรือวิชาชีพอื่น จำนวน 3 ชั่วโมง เป็นการทำงาน 1 วัน
3. การทำงานบริการสังคมหรือบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์อื่นที่ไม่ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญ
หรืองานอื่น เช่น งานทำความสะอาดหรือพัฒนาสถานที่สาธารณะ งานปลูกป่า หรือดูแลสวนป่า หรือสวนสาธารณะ
งานจราจร สำหรับ 4 ชั่วโมง เป็นการทำงาน 1 วัน
ทั้งนี้
ภายใต้การดูแลของพนักงานคุมประพฤติ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์การซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการบริการสังคม
การกุศลสาธารณะหรือสาธารณประโยชน์ที่ยินยอมรับดูแล
กรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ต้องโทษปรับทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับให้ศาลกำหนดลักษณะหรือประเภทของงาน
ผู้ดูแลการทำงาน วันเริ่มทำงาน ระยะเวลาทำงาน
และจำนวนชั่วโมงที่ถือเป็นการทำงานหนึ่งวัน ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงเพศ อายุ ประวัติ
การนับถือศาสนา ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ
สิ่งแวดล้อมหรือสภาพความผิดของผู้ต้องโทษปรับประกอบด้วย
และศาลจะกำหนดเงื่อนไขอย่างหนึ่งอย่างใดให้ผู้ต้องโทษปรับปฏิบัติเพื่อแก้ไขฟื้นฟูหรือป้องกันมิให้ผู้นั้นกระทำความผิดขึ้นอีกก็ได้
ถ้าภายหลังความปรากฏแก่ศาลว่า พฤติการณ์เกี่ยวกับการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ของผู้ต้องโทษปรับได้เปลี่ยนแปลงไป
ศาลอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งที่กำหนดไว้นั้นก็ได้ตามที่เห็นสมควร
ถ้าภายหลังศาลมีคำสั่งอนุญาตตามมาตรา ๓๐/๑ แล้ว
ความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานว่าผู้ต้องโทษปรับมีเงินพอชำระค่าปรับได้ในเวลาที่ยื่นคำร้องตามมาตรา
๓๐/๑
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งหรือเงื่อนไขที่ศาลกำหนด
ศาลจะเพิกถอนคำสั่งอนุญาตดังกล่าวและปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับ
โดยให้หักจำนวนวันที่ทำงานมาแล้วออกจากจำนวนเงินค่าปรับก็ได้
ในระหว่างการทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับหากผู้ต้องโทษปรับไม่ประสงค์จะทำงานดังกล่าวต่อไป
อาจขอเปลี่ยนเป็นรับโทษปรับ หรือกักขังแทนค่าปรับก็ได้
ในกรณีนี้ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้อง
โดยให้หักจำนวนวันที่ทำงานมาแล้วออกจากจำนวนเงินค่าปรับ