สิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญา
"ผู้เสียหายในคดีอาญา"
ได้แก่ ผู้ที่ถูกกระทำอันเป็นความผิดอาญา รวมถึงผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์
ผู้อนุบาลของผู้ไร้ความสามารถ และบุพการี ผู้สืบสันดาน
สามีหรือภรรยาของผู้ที่ถูกทำร้ายถึงตายหรือได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
ผู้เสียหายมีสิทธิ ดังนี้
1. ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
การร้องทุกข์ถือเป็นสิทธิของผู้เสียหายในคดีอาญาที่จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ซึ่งการร้องทุกข์เปรียบเสมือนการไปแจ้งความประสงค์ว่าตนต้องการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิด
ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินคดีอาญา
โดยเฉพาะคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวที่ต้องรอให้ผู้เสียหายไปร้องทุกข์เสียก่อน
ตำรวจจึงจะดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้ และในขณะเดียวกันผู้เสียหายอาจจะไม่ใช้สิทธินั้นก็ได้
ซึ่งการไม่ไปร้องทุกข์ของผู้เสียหายจะส่งผลต่อการดำเนินคดีอาญาต่อส่วนตัวเท่านั้น
ส่วนคดีอา ญาแผ่นดินจะไม่มีผลต่อการดำเนินคดีอาญาของตำรวจ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 121
พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ
"คำร้องทุกข์"
หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น
จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งกระทำให้เกิดความเสีย
หายแก่ผู้เสียหายและการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ
2. เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา
หรือขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
สิทธิในการฟ้องคดีเอง
โดยหลักแล้วการดำเนินคดีอาญาในประเทศไทยเป็นการดำเนินคดีอาญาโดยรัฐ
มีกลไกของรัฐที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด เช่น ตำรวจ อัยการ
ศาล ซึ่งกว่าจะมีการฟ้องร้องคดีต่อศาลได้ ต้องผ่านขั้นตอนหลายขั้นตอน
มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดี จนเป็นที่เชื่อได้ว่าน่าจะกระทำความผิดจริง
พนักงานอัยการจึงจะฟ้องคดีจำเลยต่อศาล แต่การดำเนินคดี อาญาของไทยก็ให้สิทธิผู้เสียหายมีสิทธิในการฟ้องคดีอาญาด้วยตนเองได้ด้วย
ตามมาตรา 28
บุคคลเหล่านี้มีอำนาจฟ้องคดีอาญาต่อศาล (1)
พนักงานอัยการ (2)
ผู้เสียหาย
3. เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายจากจำเลย
4. ถอนฟ้องในคดีที่ได้เป็นโจทก์ฟ้องต่อศาล
5. ยอมความหรือถอนคำร้องทุกข์
ในคดีความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด
สิทธิในการยุติคดี
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผู้เสียหายมีสิทธิร้องทุกข์คดีอาญาเพื่อแสดงความประ
สงค์ในการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำความผิด
ในขณะเดียวกันผู้เสียหายก็มีสิทธิที่จะยุติการดำเนินคดี
อาญากับผู้กระทำความผิดได้เช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็มีเงื่อนไขในการยุติคดีตาม มาตรา 39
ที่ว่าสิทธินำคดี อาญามาฟ้องย่อมระงับไปดังต่อไปนี้ (2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว
เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย
6. ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยในคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องต่อศาล
สิทธิเรียกร้องร้องทางแพ่งในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
มาตรา 44/1
ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทด
แทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ
หรือได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกายชื่อเสียง
หรือได้รับความเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย
ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาขอให้บังคับจำเลยให้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนก็ได้
โดยยื่นคำร้องก่อนมีการสืบพยานหรือในกรณีที่ไม่มีการสืบพยานต้องยื่นก่อนศาลมีคำพิพากษา
7. ขอให้พนักงานอัยการมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่จำเลยเอาไป
8.สิทธิในการคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย
สิทธิในข้อนี้โดยทั่วไปเรามักทราบจากสื่อว่า
“พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว” โดยที่เราอาจไม่ทราบเลยว่าการคัดค้านการประกันตัวนั้นสามารถทำได้โดยผู้เสียหายเช่นกัน
โดยอาจมาจากเหตุ ผลที่แตกต่างกันไป เช่น หวาดกลัวผู้กระทำผิด
เกรงว่าผู้กระทำผิดจะหลบหนี เป็นต้น
9. ผู้เสียหายจะยินยอมให้ตรวจตัวเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานหรือไม่ก็ได้
ถ้ายินยอมให้ตรวจ
ผู้เสียหายที่เป็นหญิงมรสิทธิที่จะได้รับการตรวจตัวโดยเจ้าพนักงานหญิง
ทั้งนี้ในบางครั้งความผิดอาญานั้นเกิดกับร่างกายของผู้เสียหาย
แต่หากตัวผู้เสียหายเองไม่มีความสะดวกใจที่จะให้ตรวจร่างกายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ
ก็ตามที พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ
หรือแม้แต่ศาลก็ไม่มีสิทธิให้ผู้เสียหายเข้ารับการตรวจร่างกายแต่อย่างใด
10. ในการชี้ตัวผู้ต้องหา
ต้องจัดให้มีสถานที่เหมาะสมและป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องหาเห็นตัวผู้เสียหาย
ในข้อนี้อาจจะกล่าวได้ว่าล้อกับสิทธิในเรื่องการคัดค้านการประกันตัวผู้กระทำผิด
เพราะตามหลักการด้านงานกระบวนการยุติธรรมนั้นจำเป็นจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย
และสวัสดิภาพของผู้เสียหายเป็นประการแรก เพราะหากความปลอดภัย
และสวัสดิภาพของผู้เสียหายนั้นรัฐยังรักษาไม่ได้
ก็คงไม่จำเป็นต้องถามหาความยุติธรรมให้เสียเวลาแต่อย่างใด
11. ผู้เสียหายที่เป็นเด็กมีสิทธิที่จะให้ปากคำและการสอบสวนในสถานที่ที่เหมาะสม
รวมถึงมีบุคลากรที่เหมาะสมร่วมในการเข้าฟัง
สิทธิข้อนี้เป็นการชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นเล็งเห็นถึงสภาพจิตใจของเด็กที่เข้าสู่กระ
บวนการยุติธรรมตามแนวคิดสังคมสงเคราะห์
โดยเจ้าพนักงานมีหน้าที่จะต้องจัดหานักจิตวิทยา นักสัง คมสงเคราะห์
บุคคลที่ผู้เสียหาย ร้องขอ
รวมถึงพนักงานอัยการร่วมในการสอบสวนให้ปากคำด้วยเพื่อคำนึงถึงสภาพจิตใจของผู้ให้ปากคำเป็นประเด็นสำคัญ
12. คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ
ผู้เสียหายที่เป็นหญิงมีสิทธิได้รับการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนที่เป็นหญิง
กรณีนี้จะเห็นได้ว่ากฎหมายเล็งเห็นถึงผลกระทบทางจิตใจในการสอบสวนผู้เสียหายจากความ
ผิดเกี่ยวกับเพศที่เป็นหญิง จึงจัดให้ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องพนักงานสอบสวนที่เป็นหญิงได้เพราะเห็นว่ารูปแบบการสอบซักถามจะเป็นไปอย่างเห็นอกเห็นใจลูกผู้หญิงด้วยกันมากกว่าพนักงานสอบสวนที่เป็นชาย
เช่น การถามว่า “แต่งตัวโป๊หละสิถึงถูกข่มขืน” เป็นต้น
13. คดีความผิดเกี่ยวกับเพศ
ผู้เสียหายมีสิทธิไม่ถูกถามด้วยคำถามอันเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของผู้เสียหายกับบุคคลอื่นนอกจากจำเลย
เช่นเดียวกับข้อ 12
ที่เป็นสิทธิเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่สิทธิข้อนี้หมายรวมถึงผู้ชายด้วย
กล่าวคือหากเราเป็นผู้เสียหายในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศนั้น
พนักงานสอบสวนบางท่านที่ไม่เชี่ยวชาญด้านหลักจิตวิทยาหรือสังคมสงเคราะห์
อาจจะมีการซักถามที่เกินเลยไปถึง “พฤติกรรมทางเพศ” “รสนิยมทางเพศ” ในชีวิตประจำวันของผู้เสียหาย
เพียงเพราะเล็งเห็นประโยชน์ในทางคดีโดยลืมนึกถึงผลกระทบทางจิตใจของผู้เสียหาย
ซึ่งโดยพื้นฐานจะได้รับผลกระทบอยู่แล้วในกรณีคดีประเภทดังกล่าว
14. มีสิทธิถามคำให้การของผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวน
โดยปรกติหากเกิดข้อพิพาทกันทางอาญาก็ต้องมีการสอบสวนให้การกับเจ้าพนักงานสอบสวนเพื่อประโยชน์ในการค้นหาความจริง
และดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
ซึ่งในจุดจุดนี้ผู้เสียหายเองในฐานะผู้ได้รับความเสียหายอาจทั้งทางกาย และจิตใจ
รัฐจึงให้สิทธิที่ผู้เสียหายจะซักถามคำให้การของผู้ต้องหาได้เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวผู้เสียหายเอง
ทั้งในการเตรียมการของทนายความของผู้เสียหาย ในการต่อสู้ในชั้นศาล
และความโปร่งใสของพนักงานสอบสวน
15. มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องร้องต่อศาลขอให้สืบพยานไว้ล่วงหน้า
16. ยื่นอุทธรณ์
ฎีกา คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในคดีที่เป็นโจทก์
หรือคดีที่เข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ
17. มีสิทธิที่จะขอทราบข้อเท็จจริง
ข้อโต้แย้ง และตรวจสอบเอกสารตลอดจนพยาน หลักฐานของตน
สืบเนื่องจากข้อก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่ารัฐนั้นได้บัญญัติกฎหมายไว้เพื่อพิทักษ์สิทธิแก่ผู้เสียหาย
ไว้เพื่อดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในหลายขั้นตอน เช่นข้อนี้
ผู้เสียหายสามารถให้ที่ปรึกษาทางกฎหมายเข้าร่วมตรวจสอบพยานหลักฐาน
และเอกสารในทางคดีว่าครบถ้วนหรือไม่ อย่างไร เพื่อประโยชน์สูงสุดในทางการผดุงไว้เพื่อความถูกต้องของคดีความนั่นเอง
สิทธิของผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย
และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำ เลยในคดีอาญา พ.ศ.
2544
ผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา
พ.ศ. 2544
ได้ให้ความหมายของผู้เสียหายไว้ว่าหมายถึง
บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจเนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น
โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น
วิเคราะห์ความหมายของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและพระราช
บัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ นั้นมีความแตกต่างกัน
เพราะผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจาร ณาความอาญานั้นเป็นการให้ความหมายผู้เสียหายซึ่งเกี่ยวข้องกับสิทธิในการดำเนินคดี
ซึ่งยังหมาย ความรวมถึงบุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนด้วย
แต่ความหมายผู้เสียหายตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหายเป็นการกำหนดความหมายสำหรับบุคคลผู้มีสิทธิได้รับค่าตอบแทนที่รัฐจ่ายให้เพื่อเยียวยาความเสียหาย
ดังนั้น ความหมายจึงแคบกว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เพราะผู้เสียหายที่จะได้รับการค่าตอบแทนต้องเป็นผู้เสียหายถึงชีวิต
ร่างกายหรือจิตใจ
“ค่าตอบแทน” หมายความว่า
เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดที่ผู้เสียหายมีสิทธิได้รับเพื่อตอบแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นหรือเนื่องจากมีการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น
มาตรา 5
การเรียกร้องหรือการได้มาซึ่งสิทธิหรือประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้
ไม่เป็นการตัดสิทธิหรือประโยชน์ที่ผู้เสียหายหรือจำเลยพึงได้ตามกฎหมายอื่น
มาตรา 6
ในกรณีที่ผู้เสียหายหรือจำเลยถึงแก่ความตายก่อนที่จะได้รับค่าตอบแทนค่าทดแทน
หรือค่าใช้จ่าย แล้วแต่กรณี ให้สิทธิในการเรียกร้องและการรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน
หรือค่าใช้จ่ายตกแก่ทายาทซึ่งได้รับความ เสียหายของผู้เสียหายหรือจำเลยนั้น
ทั้งนี้ ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด
มาตรา 17
ความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหาย
อันอาจขอรับค่าตอบแทนได้ต้องเป็นความผิดตามรายการที่ระบุไว้ท้ายพระราชบัญญัตินี้
ความผิดที่กระทำต่อผู้เสียหายซึ่งทำให้ผู้เสียหายอาจขอรับค่าตอบแทนได้ตามมาตรา
17
ได้แก่ ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2ความผิด
ลักษณะ 9
ความผิดเกี่ยวกับเพศ มาตรา 276
ถึง มาตรา 287
ลักษณะ 10
ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย หมวด 1
ความผิดต่อชีวิต มาตรา 288
ถึง มาตรา 294
หมวด 2
ความผิดต่อร่างกาย มาตรา 295
ถึง มาตรา 300
หมวด 3
ความผิดฐานทาให้แท้งลูก มาตรา 301
ถึง มาตรา 305
หมวด 4
ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วยเจ็บ หรือชรา มาตรา 306 ถึง มาตรา 308
มาตรา 18
ค่าตอบแทนตามมาตรา 17
ได้แก่
(1) ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล
รวมทั้งค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ
(2)
ค่าตอบแทนในกรณีที่ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย
จำนวนไม่เกินที่กำหนดในกฎกระทรวง
(3)
ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ในระหว่างที่ไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติ
(4)
ค่าตอบแทนความเสียหายอื่นตามที่คณะกรรมการเห็นสมควร
ทั้งนี้
ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง
คณะกรรมการจะกำหนดให้ผู้เสียหายได้รับค่าตอบแทนเพียงใดหรือไม่ก็ได้
โดยคำนึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำความผิด
และสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ รวมทั้งโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย
หากจะกล่าวโดยสรุปให้เข้าใจง่ายอาจกล่าวได้ว่า
กระบวนการยุติธรรมของไทยในปัจจุบันนั้นมีการเอื้อประโยชน์ ให้สิทธิต่างๆ
แก่ผู้เสียหายในทางคดีอาญาอย่างมากที่จะดำรงไว้ซึ่งความถูกต้องใน ทางคดีความ
และดำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมในระบบงานกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ
ดังที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
พ.ศ.2560 มาตรา
29 บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น
ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียว ยาหรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ