หลักนิติภาษิต บันทึกโดย หลวงสกล สัตยาทร / สวัสดิการของประชาชนเป็นกฎหมายสูงสุด......ผู้ใดมาขอความยุติธรรม ผู้นั้นต้องมาด้วยมือสะอาด..... ผู้ใดละเมิดกฎหมาย จะแสวงหาความช่วยเหลือจากบทกฎหมายย่อมไม่บังเกิดผล.....จากมูลเหตุอันไร้ศีลธรรม ย่อมไม่เกิดสิทธิแห่งการเรียกร้อง..... อาชญากรรมยังผลให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากการนั้นไร้ผล....กฎหมายไม่บังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือพ้นวิสัย.....บทกฎหมายให้ความช่วยเหลือผู้ที่ระวัง แต่ไม่ช่วยเหลือผู้ที่นอนหลับ.....ทุกสิ่งต้องสันนิษฐานว่าถูกต้องตามกฎหมายแล้ว เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ความตรงข้าม..... กฎหมายไม่ต้องการให้พิสูจน์สิ่งซึ่งชัดแจ้งต่อศาลแล้ว.....ถ้อยคำที่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องการคำอธิบาย.....การตีความในกฎหมายย่อมจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย..... เมื่อข้อความใดเคลือบคลุม ในการตีความต้องละเว้นสิ่งที่ไร้ผลและสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.....ในเมื่อถ้อยคำนั้นตีความหมายไม่ได้เป็นสองนัยแล้ว ก็ไม่ควรให้มีการแปลความหมายที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำที่แท้จริงนั้น ..... ท่านต้องไม่ทำให้ถ้อยคำในตัวบทกฎหมายแตกต่างหรือผันแปรไป....หลักการตีความหมายควรถือหลักเสรี และควรให้ถ้อยคำเป็นไปตามความตั้งใจ.....จะต้องเข้าใจถ้อยคำไปในทางที่จะให้วัตถุประสงค์นั้นเป็นผลสำเร็จ ไม่ใช่เสียผล.....การตีความในกฎหมายย่อมจะไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย....ในการตีความหมายในสัญญาควรต้องเพ่งเล็งเจตนาของคู่สัญญายิ่งกว่าถ้อยคำที่ใช้อยู่....กฎหมายไม่บังคับให้ผู้ใดปรักปรำตนเองหรือให้หลักฐานเป็นปรปักษ์แก่ตน....ในทางอาชญากรรมย่อมมุ่งถึงเจตนา ไม่ใช่ผลของการกระทำ...ไม่มีผู้ใดต้องถูกลงโทษเนื่องจากความคิด....เพียงแต่การกระทำเท่านั้นยังไม่ทำให้ผู้กระทำมีความผิดเว้นแต่จะได้กระทำโดยเจตนาที่ผิด....ผู้สำคัญผิดไม่ได้ถือว่าให้ความยินยอม.....ถือเอาตามน้ำหนักของพยาน ไม่ใช่จำนวนพยาน.....คำรับสารภาพที่รับต่อศาลย่อมมีน้ำหนักว่าการพิสูจน์อย่างอื่น.....เมื่อความเห็นเท่ากันจำเลยย่อมถูกยกฟ้อง ....ดุลยพินิจคือการวินิจฉัยโดยอาศัยหลักกฎหมายว่าอะไรยุติธรรม.....คำพิพากษาของตุลาการที่ตัดสินเกินอำนาจย่อมไม่มีผล....การจัดการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดที่สุดทีทำให้เกิดความอยุติธรรมมากที่สุดได้

ธรรมะกับทนายความ



          ท่านที่เรียกตัวเองว่า ทนายความทั้งหลาย
          ก่อนอื่นทั้งหมดอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาสู่สถานที่นี้ของท่านทั้งหลาย ด้วยเหตุผลคือได้ทำการพบปะกันระหว่าง “ผู้ที่มีอุดมคติเหมือนกัน”
          บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทนายความกับพระจะมีอุดมคติเสมอกันได้อย่างไร ขอบอกกล่าวอย่างสั้น ๆ กันว่า พระก็ดี ทนายความก็ดี มีอุดมคติเหมือนกันตรงที่ใช้ความรู้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ ขอให้ดูเถิดว่ามันตรงกันหรือไม่ตรงกัน ซึ่งเดี๋ยวก็จะได้พูดกันให้มากกว่านี้
          อาตมายินดีที่ได้พบกับผู้ที่มีอุดมคติตรงกันอย่างนี้ และขออภัยทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดที่ให้นั่งคือ “นั่งกลางดิน”
          และกลางดินนี้พวกเราถือเป็นเกียรติสูงสุด เพราะพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าเรานั้นท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านสอนก็กลางดิน ที่อยู่ของท่านก็พื้นดินและในที่สุดก็นิพพานหรือตายกลางดิน
          ที่เขาเรียกว่ากลางดินหรือพื้นดินนี้มีความหมายสำหรับพระพุทธเจ้าอย่างไร ขอให้คิดดูเถิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีเกียรติหรือไม่มีเกียรติ ใคร่ขอร้องให้ท่านทั้งหลายกระทำใจเป็นอนุสติถึงพระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ในเมื่อนั่งกลางดิน ขอให้เอามือลูบดิน เพื่อกำหนดจดจำไว้ในใจไม่ลืมเลือน
          ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายคงไม่เคยนั่งกลางดิน เพราะไปที่ไหนก็มีการต้อนรับด้วยที่นั่ง อย่างน้อยก็เป็นเก้าอี้ก็เป็นไปตามเรื่อง เดี๋ยวนี้ต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยอาสนะกลางดินซึ่งเป็นที่นั่งนอนของพระพุทธเจ้า       ยิ่งกว่านั้นก็คือขอให้กำหนดจดจำไว้ในใจเพื่อว่าเราจะได้มีอุดมคติอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าคือ “การเป็นอยู่อย่างต่ำ แต่มีความคิดและการกระทำอย่างสูง” ถ้ากินอยู่อย่างสูงแล้วมันลงมาต่ำ ถ้ากินอยู่อย่างต่ำจิตใจมันเดินขึ้นสูง ถ้าทำสิ่งซึ่งสูงสุดต้องมีการเป็นอยู่อย่างต่ำ ขอให้ช่วยจำความหมายว่า นั่งกลางดิน นี้ไปด้วย เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการดำรงชีวิตต่อไปในอนาคต
          ท่านมีความประสงค์จะให้อาตมากล่าวธรรมะ อาตมาก็เข้าใจเอาเองว่าต้องเป็น “ธรรมะที่เกี่ยวกับอาชีพทนายความ” หรือเป็นประโยชน์ที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติหน้าที่ของทนายความ
          ข้อแรกที่สุดที่เราจะพูดกันถึงความเข้าใจผิดบางอย่างระหว่างประชาชนกับทนายความ
          คือประชาชนโดยทั่วไปมัก “มองอาชีพทนายความว่าเป็นอาชีพที่ไม่สุจริต” เป็นอาชีพที่เอาเปรียบหรือขูดรีดหรืออะไรต่าง ๆ นา ๆ มิใช่เป็นการหลู่เกียรติทนายความเกินไป เป็นความเข้าใจผิด แต่ว่าในบางถิ่นบางแห่งบางบุคคลอาจเป็นความจริงที่มีมูลก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราพูดกันตามตรง ตามหลักการของธรรมชาติก็ดี ของมนุษยธรรมก็ดี เป็นการกล่าวหาที่ยังไม่ตรงต่อความจริง
            เพราะผู้ทำหน้าที่ “ทนายความ” นั้น มันก็คือ “ผู้ประพฤติธรรม” อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน ถ้าว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
          คำว่า ธรรมะ นั้น แปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องรู้และกระทำต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งในระดับสูงและระดับต่ำ ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดเข้าใจความหมายของคำว่า ธรรมะกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง
          บางทีโรงเรียนเขาสอนพวกเด็ก ๆ ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พูดเท่านั้น แล้วก็เลิกกัน ก็ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไรกระทั่งจนบัดนี้
          ขอให้เข้าใจว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นจริง แต่ต้องบอกว่าสอนเรื่องอะไร ธรรมะก็คือคำสอนเรื่องหน้าที่ คำว่า ธรรมะนี้มีพูดกันอยู่ในหมู่มนุษย์ก่อนที่พระพุทธเจ้าก่อน คือก่อนที่พระพุทธเจ้าเกิดนั้นมนุษย์ในถิ่นนั้น ในถิ่นที่ใช้ภาษานี่ เข้าพูดคำว่าธรรมะกันอยู่แล้ว มิใช่เพิ่งมีเมื่อพระพุทธเจ้าเกิด
          ฉะนั้น “ธรรมะ” แปลว่า “หน้าที่” เมื่อมนุษย์ได้พ้นจากคำว่าป่าเถื่อน มาเป็นมนุษย์ที่รู้จักทำมาหากินแล้ว ก็รู้สิ่ง ๆ หนึ่งที่เราเรียกในภาษาไทยว่าหน้าที่ คนพวกนั้นก็ต้องเรียกตามภาษาในถิ่นเขาคือในอินเดียยุคดึกดำบรรพ์โน้น นั่นเรียกว่าธรรมะในฐานะที่เป็นหน้าที่ อย่างพูดในภาษาไทยก็หน้าที่
          มนุษย์เลยรู้จักว่า “หน้าที่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ต้องทำ ต้องขวนขวายหาความรู้เรื่องหน้าที่ แล้วก็สอน ๆ กันเป็นลำดับมา สอนเรื่องหน้าที่ให้ดีขึ้น จนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ท่านได้สอนหน้าที่สูงสุดให้ คือการดับทุกข์สิ้นเชิง บรรลุนิพพาน ท่านสอนว่า “ธรรมะนั้นคือหน้าที่ที่สำหรับสิ่งมีชีวิตจะต้องประพฤติ กระทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองก่อน และความอยู่รอดของผู้อื่นด้วย” เพราะเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้
          แม้ว่าความบีบคั้นนั้นมีทั้งอย่างต่ำและอย่างสูง การรอดขั้นต้นคือ “รอดจากความตาย” นี่เป็นการรอดขั้นต้น หน้าที่ต้องช่วยความรอดจากการตายก่อน พอรอดจากความตายแล้วก็ “รอดจากความทุกข์” อันละเอียดอ่อนทั้งหลายทางจิตใจด้วย เรียกว่ารอดทั้งสองขั้น คือขั้นต่ำและขั้นสูง หรือทั้งทางกายและทางจิตใจ
          “ธรรมะ” คือ “หน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตต้องกระทำเพื่อให้เกิดความรอดแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นทั้งทางกายและจิตใจ” นั่นคือธรรมะ
          สรุปเรียกสั้น ๆ ว่าธรรมะคือหน้าที่ “เมื่อใดมีการทำหน้าที่เมื่อนั้นมีธรรม ธรรมมีเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่” ในโบสถ์อาจไม่มีธรรมก็ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติหน้าที่ บางโบสถ์มีแต่สิ่งกินฟรี ในทุ่งนาที่มีชาวนาไถนาอย่านั้นอาจมีธรรม มีธรรมอย่างยิ่งเพราะเขาทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดแห่งชีวิตและจิตใจ ที่ไหนมีการทำหน้าที่ที่นั่นมีธรรม ทุกคนต้องทำ แม้แต่ชาวนา ชาว สวน พ่อค้า ทนายความ หรือแม้แต่คนขอทานก็ต้องทำ ทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมของขอทาน “เมื่อทำหน้าที่ของคนดีแล้วก็รอดพ้นจากความทุกข์”
          “ความหมายของธรรม” คือ “ผู้ทรงผู้ปฏิบัติให้ตกต่ำลงในความทุกข์ คือพยุงผู้ปฏิบัติให้ขึ้นอยู่เหนือความทุกข์” นี่คือความหมาย
          แต่ความมุ่งหมายของคำว่าธรรมะหรือหน้าที่ ดังนั้น “คนเราต้องทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดของตนเองและของผู้อื่น ทั้งอย่างต่ำและอย่างสูง” อย่าว่าแต่คนแม้แต่สัตว์ก็ต้องทำหน้าที่ มีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน มันทำอะไรไปตามแบบของสัตว์เดรัจฉานเพื่อความอยู่รอดและเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป
          อย่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย แม้แต่ต้นไม้ทั้งหลายที่เราเห็นอยู่นี่ก็ทำหน้าที่ เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน ต้นไม้ต้องทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ตามที่เราเรียนมาทางวิชาชีววิทยา ต้นไม้มีคายออกซิเจนอยู่ตลอดวัน คายคาร์บอนไดออกไซ.ตลอดคืน ก็แปลว่ามันทำหน้าที่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ทำเล่นกับต้นไม้ซิ ถ้ามันไม่ทำทั้ง ๒๔ ชั่วโมง มันจะเอาออกซิเจนที่ไหนมาคายตลอดวันและคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน ดูว่าต้นไม้จะขยันกว่าใครคือทำงาน ๒๔ ชั่วโมง แต่มนุษย์เรานี่เอาเปรียบ ๘ ชั่วโมงก็บ่นแล้ว ใน ๘ ชั่วโมงนั้นมีเวลาโดยเสียอีกไม่ได้ทำเต็มตามที่กำหนดไว้
          ขอให้ถือเป็นหลักว่า ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องทำทั้งคนทั้งสัตว์และทั้งพืชพรรณพฤกษาทั้งหลสายก็ต้องทำ จำเป็นหรือไม่ ให้คิดดู หน้าที่เพื่อชีวิตรอด
          ทีนี้ “ทนายความ” ก็มีการทำหน้าที่ในฐานะเป็นมนุษย์ทั่วไป และ “หน้าที่เฉพาะ” คือ ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ด้วยความรู้ ต้องดูให้ดีนะทนายความที่มีอุดมคติและซื่อตรงต่ออุดมคติ งานของเขาคือช่วยผู้ไม่มีความรู้ด้วยความรู้ ช่วยผู้อ่อนแอไม่มีแรงด้วยความมีแรงของเรา เหมือนพ่อแม่ช่วยเด็ก ๆ ที่เดิน ถ้าพ่อแม่ไม่ช่วยแล้วเด็กมันจะอยู่รอดได้อย่างไร
          เอาใจความสำคัญแต่เพียงว่า “ผู้มีความรู้ให้ใช้ความรู้ของตนไปช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้”  “อุดมคตินี้เป็นอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า” พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครูมีความรู้สูงสุด แล้วท่านก็ใช้ความรู้ของท่านช่วยสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ให้รอดพ้นจากความทุกข์และความตาย นี่คืออุดมคติ คืออุดมคติมันอยู่ตรงที่การใช้ความรู้ของตนช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ นี่ที่เอามากล่าวว่า อุดมคติของทนายความกับพระมันตรงกันตรงนี้
          ขอให้ไปคิดดูว่า หัวใจแท้ ๆ ของเรื่องมันอยู่ตรงนี้หรือเปล่าว่าผู้ที่มีความรู้ก็ใช้ความรู้ของตนช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ ผู้ที่มีความเข้มแข็งก็ใช้ความเข้มแข็งของตนช่วยผู้ที่มีความอ่อน แอ เรียกว่ามีอุดมคติ รู้จุด เป็นอุดมคติของโพธิสัตว์
          ถ้าทนายความมีความซื่อตรงต่ออุดมคติของทนายความ คือ “ใช้ความรู้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้” “ไม่ใช่ทำนาบนหลังผู้ไม่มีความรู้”
          ฉะนั้นเพื่อมิให้เป็นการทำนาบนหลังผู้ไม่มีความรู้ และทำให้การขูดรีดต่าง ๆ มันหมดลงก็ดี ต้องมีอุดมคติของคำว่าทนายความ หรืออุดมคติของพระพุทธเจ้าที่ว่า ใช้ความรู้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้
          “ประชาชนยังเข้าใจผิดต่อทนายความว่าเป็นอาชีพที่ไม่ซื่อตรง” เข้าใจกันอย่างนั้น คือไม่น่าเคารพบูชา “เพราะว่ามีลักษณะเหมือนกับทำนาบนหลังคนไม่มีความรู้”
          แต่ใคร ๆ ก็เห็นชัดเจนว่า นั่นไม่ใช่อุดมคติของทนายความ
          ทนายความต้องมีธรรมะ ต้องมีจรรยาบรรณของทนายความ ใช้ความรู้ของตนช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ให้ได้รับความเป็นธรรมหรือความยุติธรรม
          ถ้ามาดูกันในแง่นี้ ทนายความคือผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมในโลกนี้ด้วยพวกหนึ่ง ซึ่งถือเป็นผู้มีหน้าที่เป็นธรรม ประกอบอยู่ด้วยธรรม ไม่รังเกียจและตั้งอยู่ในฐานะที่ควรเคารพสักการะ ถ้าดำรงตนอยู่ในอุดมคติของตนอันแท้จริง
          ประชาชนทั่ว ๆ ไปยังเข้าใจผิด เช่น แม้แต่การค้าขาย เขาก็เห็นว่าเป็นการกระทำที่เอาเปรียบผู้อื่น ขูดรีดผู้อื่น ไม่ได้บุญอะไร
          อาตมาเคยพูว่าถ้าทำหน้าที่ทางธรรม ตามหน้าที่ของมนุษย์แล้วเป็นบุญ เป็นกุศลทั้งนั้น เป็นพ่อค้า ค้าขาย เขาให้คนทั้งหลายได้รับความสะดวก ซึ่งความสะดวกมันมีค่ามากกว่าเงินกำไรที่พ่อค้าเขาได้รับจากผู้ซื้อ
นี่หมายความว่าเมื่อพ่อค้าเป็นผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม เขาจะทำหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้อง แล้วก็คิดประโยชน์ตามสมควร
          เพราะใคร ๆ ก็เห็นอยู่ ทุกคนต้องกินอาหารต้องใช้จ่ายอะไรมันจึงอยู่ได้ ถ้าจะเกณฑ์ให้คนมาทำหน้าที่ช่วยคนอื่นตลอดไป โดยไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าข้าวปลาอาหารวันละ ๑ บาตร บิณฑบาตวันละ ๑ ครั้งก็ยังมีการตอบแทน หากแต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าพระสงฆ์ทำให้ประชาชน มันมีค่านับไม่ไหว คือการยกสถานะทางจิตใจทั้งทางร่างกายให้พ้นจากความทุกข์ อันมีค่ามากมายนับคำนวณไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับข้าวสุกบาตรเดียวหรือครึ่งบาตร เป็นอันว่าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นประโยชน์แก่ใคร ๆ ก็ตาม ไม่มีเวลาไปทำมาหากิน ก็ต้องได้รับประโยชน์ผู้ที่ให้ทำหน้าที่ หรือได้รับประโยชน์จากการทำหน้าที่ของผู้นั้น อย่างคนค้าขายทำให้คนทั้งหลายสะดวก เขาก็ควรได้รับการตอบแทนเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ได้ ก็ถือกำไรตามสมควรที่เขาควรจะได้รับ แต่ถ้าเมื่อใดเอากำไรเกินควร เป็นการขูดรีดแล้ว ก็หมดความเป็นคนค้าขายแล้วและกลายเป็นคนขูดรีดไปแล้ว มันพ้นจากความเป็นพ่อค้าไปแล้ว   แต่ถ้ายังทำหน้าที่พ่อค้าอย่างตรงไปตรงมา คือคิดกำไรแต่พอสมควรก็ยังเรียกว่าเป็นผู้ประพฤติประโยชน์ เป็นหน้าที่ที่ต้องประพฤติ เป็นธรรมะที่ต้องประพฤติที่ต้องมีอยู่ในโลกเพื่อให้เราสะดวกด้วยกันทั้งนั้น เราไม่มีการค้านี่เราจะได้รับความลำบากเท่าใด เราต้องแบกของหนัก ๆ ไปแลกเปลี่ยนกันเหมือนสมัยดึกดำบรรพ์โน้น มันก็ทำไม่ได้ เดี๋ยวนี้การค้าก็ช่วยให้ได้รับความสะดวกสบายมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำการค้าควรจะได้รับผลตอบแทนเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้ นั่นคือกำไรที่เขาคิดเอาไปตามสมควร ถ้าเกินสมควรก็กลายเป็นคนขูดรีด ไม่ใช่พ่อค้าแล้ว กลายเป็นผู้ขูดรีดอะไรไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นถือเสียว่าการได้รับการตอบแทนจะไม่เป็นบุญเป็นกุศล มันเป็นบุญเป็นกุศลเพราะว่าเราให้ประโยชน์แก่เขามากมายมหาศาลเกินกว่าสิ่งตอบแทนที่เขาตอบสนองให้เราเล็ก ๆ น้อย ๆ
          เมื่อทนายความทำหน้าที่ของตนโดยสุจรติก็กลายเป็นปูชนียบุคคลได้เหมือนกัน คือพิทักษ์ความถูกต้องของธรรมะในโลกนี้ไว้ โดยเป็นผู้ที่ใช้ความรู้ของตนช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีความรู้ นี่คือจุดปกติซึ่งเราต้องถือว่าเมื่อมีประโยชน์ก็เป็นผู้ประพฤติประโยชน์มากกว่าสิ่งที่เขาจ่ายให้เรา ก็เรียกว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม
          เพราะฉะนั้นอาชีพพ่อค้าก็ดี อาชีพทนายความก็ดี ถ้าประพฤติถูกต้องตามอุดมคติแล้ว ก็ยังชื่อว่าผู้ประพฤติธรรม มิใช่ควรพึงรังเกียจว่าคอยแต่ขูดรีด แล้วมันเป็นเรื่องนอกอุดมคติ ถ้ามีพ่อค้าหรือทนายความคนใดคนหนึ่งทำการขูดรีดเกินความเป็นธรรม นั้นก็ไม่ใช่ทนายความ มันก็ไม่ใช่พ่อค้าที่ถูกต้องตามอุดมคตินั้น ๆ         ดังนั้นประชาชนควรจะเข้ามามองอาชีพหรือเกียรติของทนายความกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง ในฐานะที่เป็นทนายความผู้ใช้ความรู้ของตนช่วยเหลือผู้ที่ไม่รู้ให้ได้รับความเป็นธรรม นั่นก็คือความเป็นผู้ที่ทำประโยชน์มากกว่าผลที่ได้รับตอบแทน เช่นเดียวกับพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้าบริสุทธิ์อย่างนั้นก็เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะปูชนียบุคคล
          ขอให้ท่าทนายความทั้งหลายลองพิจารณาดูว่าคำกล่าวนี้เป็นอย่างไร ถ้าประชาชนเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องของเขาเข้าใจผิด แต่ถ้ามีทนายความบางคนทำอะไรนอกขอบเขตของทนายความไป ก็จะกลายเป็นผู้ที่ถูกประณามไปโดยไม่ต้องสงสัย และก็เป็นความยุติธรรมดีแล้ว นี่อาตมาพูดในแง่ที่เกี่ยวกับทนายความ
          ทีนี้จะพูดในแง่ที่เป็นมนุษย์ทั่ว ๆ ไป คนเราจะเป็นทนายความอะไรก็ตามเถิด แต่ในฐานะพื้นฐานแล้ว เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ฉะนั้นจะต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเสียก่อน แล้วเราก็จะเป็นอะไรที่ถูกต้อง ทุกอย่างที่เขามอบหมายหน้าที่การงานให้จะเป็นชาวนาชาว สวนหรือพ่อค้า เป็นข้าราชการ เป็นทนายความ เป็นตุลาการ เป็นอะไรก็ตาม ถ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานแล้ว ก็จะเป็นได้ดีทั้งสิ้น
          แล้วเราจะพูดกันในเรื่องธรรมะในฐานะที่เป็นพื้นฐาน คำแรกก็ขอให้เข้าใจคำว่าพุทธศาสนา พุทธศาสนาก็ถูกมองผิด ๆ ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งถ่วงความเจริญ
          การพัฒนาประเทศชาติก็มีคำว่าพุทธศาสนา น่ะ ขอให้จำไว้ให้ดีว่า คำว่าพุทธศาสนาก็แปลว่าคำสั่งสอนของผู้รู้ธรรม พุทธแปลว่าผู้รู้ธรรม พุทธศาสนาแปลว่า คำสั่งสอนของผู้รู้ธรรม อย่าเอามาเป็นเรื่องสถาบันชนิดอ้างสิทธิ อ้างอำนาจ อ้างเป็นตัวเป็นตนสำหรับต่อสู้ขัดขวางกันระหว่างศาสนาเป็นต้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่พุทธศาสนา คำสั่งสอนของผู้รู้ธรรม ตั้งแต่รู้น้อย ๆ จนถึงรู้ถึงที่สุดเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เรียกว่าผู้รู้ธรรม ทีนี้เราจะพูดถึงธรรมะคืออะไร ธรรมคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องประพฤติ ต้องกระทำดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
          ธรรมะไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ธรรมคือหน้าที่ที่ต้องประพฤติกระทำให้รอดชีวิตและรอดจากปัญหานานาชนิดทั้งของตนเองและผู้อื่น ทั้งในระดับพื้นฐานและระดับสูงสุด
          ที่เรียกว่าธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คืออะไร หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ช่วยสิ่งมีชีวิตให้รอด คำว่าความรอด เป็นสิ่งสูงสุดของทุก ๆ ศาสนา ตรวจดูเอาเถอะ ทุกศาสนา ทุกคัมภีร์ของทุกศาสนา จะมีคำที่แสดงถึงว่า มุ่งหมายไปในความรอด แต่มันต่างแบบต่างลักษณะกัน คือความรอดแบบพุทธศาสนา ความรอดแบบศาสนาพราหมณ์อะไรก็ตาม แต่ในที่นี้เป็นที่แน่นอนว่า ความรอดเป็นที่หมายของทุกศาสนา มีลักษณะต่างกัน สูงต่ำต่างกัน ตามที่ว่าเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นในยุคสมัยไหน เกิดขึ้นในถิ่นในแดนอะไร ปัญหาเหมือนกันตรงที่ได้รับความลำบากทุกข์ยากจนถึงตายก็มี จึงมีผู้คิดค้นวิธีที่จะแสวงหาความรอด แล้วก็สอนต่อ ๆ กันมาสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนรอบรู้สุด คือรอดจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏฏสงสาร อย่างนี้เป็นต้น
          ชาวพุทธศาสนาถึงความรอดเพราะการกระทำของตนเองอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มีกฎของธรรมชาติเป็นหลัก ประพฤติถูกต้องแล้วก็รอด ก็เป็นศาสนาที่มีพระเจ้า ก็พูดตัดตอนเสียที่หนึ่งว่าประพฤติตามคำสั่งของพระเจ้าแล้วก็จะรอด ที่จริงคำสั่งของพระเจ้าก็ถูกต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ คือประพฤติอย่างนั้นอย่างนั้น ไม่มีพระเจ้าของศาสนาไหนที่สอนให้คนฆ่ากันหรือสอนให้คนเอาเปรียบเห็นแก่ตัว ไม่มี ขออนุโลมตามกฎธรรมชาติให้มนุษย์รักกัน ก็ช่วยเหลือกันทุกอย่างทุกประการที่จะทำให้เกิดความผาสุกสวัสดี มันก็ต่างกันอยู่ที่ว่า คำพูดของพุทธศาสนานี้ถือเอากฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด ศาสนาที่มีพระเจ้าก็ถือเอาพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด แต่มีทางเข้าใจกันได้ไม่ขัดแย้งกัน
          อาตมาเห็นว่าทนายความทั้งหลายก็น่าจะมีความรู้เรื่องนี้ เพราะว่าแม้ศาสนาจะมีคำสอนตรงข้ามอย่างนี้ แต่ความมุ่งหมายก็ตรงกัน มีทางประนีประนอมกันได้ โดยไม่เกิดการขัดแย้งถึงกับต้องทำลายกันหรือแข่งขันกันในทางที่ว่าไม่เป็นธรรมอย่างที่เป็นปัญหาอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ ที่นี้กฎของธรรมชาติอันเด็ดขาด อันสูงสูดนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เฉียบขาด เด็ด ขาด สูงสุดตามแบบของกฎธรรมชาติซึ่งควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของทุกปรมาณูที่ประ กอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล กฎของธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ดี กฎของธรรมชาติมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นกฎอย่างที่เรียกว่า กฎวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันควบคุมอยู่ในทุกๆ ปรมาณูของปรมาณูทั้งหลายที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล มันไม่ใช่ควบคุมอยู่ที่ตัวบุคคล
          นี่คือกฎธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุดอย่างนี้ ก็มีลักษณะตายตัว ถ้าทำอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตามกฎอย่างเดียวกับกฎวิทยาศาสตร์ แล้วเรามีหน้าที่จะต้องรู้ว่าทำอย่างไรจะเกิดผลอย่างที่เราต้องการ ว่าทำอย่างไรจะได้รับผลเป็นความสุขสวัสดี
          ที่นี้ มันก็ทุกคนต้องทำอย่างนั้นจึงจะมีความสุขสวัสดี ถ้ามีบางคนทำแหวกแนว คนทั้งหลายก็จะช่วยกันจับ จัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ให้มันถูกต้องเพื่อมิให้เป็นภัยแก่สังคม หน้าที่ที่จะทำให้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมันคือธรรมะ แต่ในทางศาสนาเรียกว่ารอด คือรอดจาดตัณหานานาประการ ปัญหาทุกชนิดไม่มี ผ่านพ้นไปหมดสิ้น เพราะปฏิบัติตามธรรม
          ปุถุชนแปลว่าคนหนา ปุถุแปลว่าหนา ปุถุชนแปลว่าคนที่มีฝ้าบังดวงตา ทำให้มองไม่เห็นความจริงว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้ ดังนี้ปุถุชนจึงเห็นแก่ตัว เห็นง่าย ๆ ต่ำ ๆ เช่น เห็นว่าเงินทองเป็นของสารพัดนึก เงินจะบันดาลอะไรให้ทุกอย่าง เป็นสิ่งสูงสุด หรือว่าเห็นว่าความยาก จนไม่มีอะไรจะกินนี่เป็นทุกข์เรื่องกิเลส เรื่องทางจิตใจไม่สน นั่นคือปุถุชน มันมีฝ้าปิดตาหนาเกินไป
          ส่วนอารยชนมีฝ้าฝนตาบางหรือไม่ค่อยจะมี อารยชนจึงมองเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นมนุษย์ทำไม เป็นอย่างไร อะไรเป็นสิ่งสูงสุดที่จะทำความสงบสุขให้แก่เราได้ ดังนั้นจึงเป็นไปในทางตรงข้ามจากปุถุชน คือไม่เห็นแก่ตัว เห็นปัญหาอันแท้จริงว่า เรื่องต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับจิตใจ ถ้าจิตใจถูกต้องแล้วสิ่งทั้งปวงก็จะถูกต้อง ก็เลยจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องยิ่งกว่าปุถุชน
          ฉะนั้น เราในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งก็ขอให้พ้นจากการเป็นปุถุชนชนิดนั้นมาเป็นกัลยาณชนคือชนชั้นดีงาม เริ่มมีสายตาอันสว่างแจ่มใส มีฝ้าในดวงตาน้อยลงเป็นลำดับ ก็จะเห็นตามที่เป็นจริงว่า เราควรทำอย่างไร เป็นมนุษย์นี้เป็นทำไม อะไรเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์ เป็นมนุษย์ต่างจากคนธรรมดาอย่างไร เขาว่าชนคือคน คือปุถุชนนั่นเอง ฝ้าในดวงตาหนา ถ้าเป็นมนุษย์ก็แสดงว่าจิตใจสูงกว่านั้น มองเห็นอะไรสูงกว่านั้น จริงกว่านั้น ลึกลงไปกว่านั้นก็มองเห็นอะไรได้มากกว่าคนธรรมดา
          ฉะนั้นเป็นมนุษย์นี่มันสูงกว่าคนธรรมดา สูงทำไม ก็เพื่อที่จะให้ไต่เข้าไปก่อความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง คือรู้จักจับรู้จักกระทำเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ อย่างให้เราต้องเป็นทุกข์ ขอให้รู้ว่าพื้นฐานความเป็นมนุษย์นั้น มันอยู่ที่ตรงนี้
          ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งก็เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องโดยพื้นฐาน แล้วมนุษย์คนนี้จะไปทำหน้าที่อะไรในหน้าที่อันมากมายของสังคมมนุษย์นั้น ก็ว่าไปตามเรื่อง แต่ถ้าเราเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องแล้วจะไปทำหน้าที่อะไรก็ทำได้ดี เหมือนกับดินที่ดีนั้นจะปั้นภาชนะอะไรมันก็ดี ถ้าดินมันไม่ดีจะปั้นภาชนะอะไรก็ดีไปไม่ได้ มองเห็นชัดว่าความเป็นมนุษย์คือมีมนุษยธรรม
          มนุษยธรรมคือหน้าที่ที่มนุษย์ต้องประพฤติและทำหน้าที่นั้น ก็คือความอยู่รอดของเราทุกคน คือทั้งกับตนเองและผู้อื่น รอดทั้งจากปัญหาต่ำ ๆ และปัญหาสูงสุด ปัญหาพื้น ๆ และลึก ๆ ทุกปัญหาก็จะหมดไปไม่เบียดเบียนเรา จึงจะเรียกว่าเรามีความเป็นมนุษย์ที่ถึงระดับสูงสุด เราทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องและมีความสุขในการทำหน้าที่
          ขอสรุปความตอนนี้ว่า ธรรมะคือหน้าที่ เรามีธรรมะเมื่อเราปฏิบัติหน้าที่โดยตรงของมนุษย์ การปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม พิธีรีตองต่าง ๆ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม เป็นแต่เพียงพิธีรีตอง ยังช่วยมนุษย์ไม่ได้ เราจะต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องในการที่จะขจัดปัญหาต่าง ๆ ออกไป มีหน้าที่อย่างไรก็ทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วน
          จนพูดได้ว่าถ้าทุกคนในโลกนี้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้ว โลกนี้จะหมดปัญหา จะไม่มีวิกฤติการณ์ จะมีแต่สันติภาพอันถาวร เพียงแต่ว่ามนุษย์ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ตนมีหน้าทีอะไรในปัจจุบันก็ทำหน้าที่นั้นให้ถูกต้อง ให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถของตน เป็นชาวนาก็ทำนา เป็นชาวสวนก็ทำสวน เป็นพ่อค้าค้าขาย เป็นข้าราชการทำราช การ เป็นทนายความก็ทำหน้าที่ทนายความ เป็นตุลาการทำหน้าที่ตุลาการ เป็นกรรมการทำหน้าที่กรรมการ เป็นคนขอทาน แจวเรือจ้าง กวาดถนน ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพียงเท่านี้โลกนี้จะมีแต่สันติภาพไม่มีการเบียดเบียน
          แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนไม่ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ก้าวก่าย เอาหน้าที่ที่มิใช่หน้าที่มาเป็นหน้าที่ เช่นพวกอันธพาลก็จะพูดว่าข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องขโมยปล้นจี้ ทำหน้าที่อย่างนี้มันไม่ใช่หน้าที่ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รอดและไม่ใช่สิ่งทำให้อยู่กันอย่างผาสุก
          หน้าที่ที่ถูกต้องคือทำให้ทุกคนอยู่กันอย่างผาสุก คำว่าหน้าที่จำกัดอยู่ที่ต้องเพื่อความอยู่รอด ถ้าเพิ่มความวินาศเข้าไปอีกมันก็ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่หน้าที่เป็นธรรมะ อย่างที่คนอันธพาลเขาอาจจะอ้างว่า เขาทำหน้าที่ของใคร เขาทำหน้าที่เป็นผู้ปล้นจี้ ทำหน้าที่ของล้างผลาญ นั่นมันไม่ใช่หน้าที่จึงไม่ใช่ธรรมะ
          ธรรมะจึงมีแต่ในทางที่ทำให้เกิดความรอดแก่ทุกคนและทุกระดับ ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตน โลกนี้ก็จะพ้นจากวิกฤติการณ์ มีแต่สันติภาพอันถาวร พ่อทำหน้าที่พ่อ แม่ทำหน้าที่แม่ ลูกหรือหลานหรือเหลนก็มีหน้าที่ของตน พี่ป้าน้าอา ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหาจะมีหน้าที่อย่างไรโดยธรรมชาติก็ทำหน้าที่อย่างนั้นให้สมบูรณ์ มีหน้าที่ในการแต่งตั้งมอบ หมายอะไรก็ทำหน้าที่ตามหน้าที่ของตนอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องมีอะไรมาก ไม่ต้องเรียนอะไรมากให้เสียเวลาเหนื่อยยากลำบาก เรียนการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็จะมีแต่สันติภาพ แม้แต่สุนัขและแมวก็ขอให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง สุนัขมีหน้าที่อย่างไรก็เฝ้าบ้านดี ๆ แมวมีหน้าที่อย่างไรก็ป้องกันทรัพย์สินจากหนู เป็นต้น
          เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทนายความก็มีหน้าที่ของทนายความคือการใช้ความรู้ของท่านช่วยเหลือผู้ไม่รู้ ตามพิทักษ์รักษาความยุติธรรมของโลก ทำหน้าที่นี้ให้ดี ไม่มีข้อบกพร่องตรงไหน แล้วก็จะเกิดความพอใจในตัวเอง ที่ทำให้เกิดความสุขอย่างสูงสุด พอใจในเงินทอง ข้าวของ เกียรติยศชื่อเสียง บุตร ภรรยาสามี ก็ไม่เท่ากับความพอใจในตนเองที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์จนยกมือไหว้ตนเองได้ ทำหน้าที่ของตนเองบริสุทธิ์ถูกต้องจนยกมือไหว้ตนเองได้ ความพอใจชนิดนี้เป็นธรรมะที่สุด เป็นความจริงที่สุด ซึ่งทำให้เกิดสุขที่สุดเพราะการยกมือไหว้ตัวเองได้ เพราะดูตัวเองแล้งเห็นแต่ความดีตลอดวันตลอดเวลาที่กระทำมา
          ฉะนั้น คำว่าสวรรค์ สวรรค์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การยกมือไหว้ตัวเองได้ ยกมือไว้ตัวเองได้โดยแท้จริงเมื่อไร เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อไรเกลียดชังตัวเอง รังเกียจตัวเองเพราะผิดพลาดอะไรก็ดี เมื่อนั้นเป็น นรก คือทรมาณจิตใจไม่อาจพอใจตัวเองได้ ยิ่งดูตัวเองยิ่งเกลียดชังตัวเอง นี่คือนรกที่แท้จริง อย่าตกนรกชนิดนี้ก็ไม่ตกนรกชนิดไหนหมด จะตายไปอีกกี่หนกี่หนมีนรกชนิดไหนอีกก็ไม่ตกนรกที่ไหนอีกถ้าไม่ตกนรกชนิดนี้ โดยนัยเดียวกันถ้าได้สวรรค์ที่นี้จะยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลาแล้ว จะได้สวรรค์ทุกชนิดในอนาคต จะตายไปสักกี่ชาติร้อยชาติก็จะได้สวรรค์ทุกชนิดที่มันมีค่า ได้สวรรค์ที่แท้จริงได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้เสียก่อนคือประพฤติหน้าที่ที่ถูกต้องจนยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อใจการกระทำของตนเองได้ขนาดนี้มันก็มีความสุข ที่นี้มาดูที่ความสุข นี่คือความสุข นี่คือความสุขที่แท้จริง สบายใจเย็นใจเป็นสุขใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้นี่แหละเป็นความสุขที่แท้จริง ความสุขชนิดนี้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อแม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำไป
          ถ้ามันเป็นความสุขที่แท้จริง มันไม่ต้องจ่ายเงินซื้อแม้แต่บาทเดียว เมื่อมีความพอใจในตัวเองอย่างยกมือไหว้ตัวเองได้มันมีความสุขเหลือประมาณและไม่ต้องใช้เงินเลย
          แต่คน เราไม่สนใจ เขาไม่เอาความสุขชนิดนี้ เขาไปเอาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เลิกงานไปสถานเริงรมณ์ไปอาบอบนวด ไปอะไรต่าง ๆ จนทำให้เงินไม่พอใช้ต้องคดโกง จนต้องเห็นแก่ตัวหาเงินโดยคดโกงขูดรีด ได้ความสุขหลอกลวงมันไม่ใชความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง คนที่จะหาความสุขก็ไปเอากับมันแล้วก็หาเงินมาใช้มาซื้อจนเงินไม่พอใจ ไม่ว่าคนอาชีพไหนถ้าไปหลงความสุขคดโกงคือไม่ใช่ความสุขแท้จริงแล้ว เขาจะต้องหาเงินได้ไม่ทันใช้ไม่พอใช้อยู่เสมอ เพราะความหลอกลวงมันแพงมาก ส่วนความพอใจที่เป็นความสุขที่แท้จริงนี้ไม่ต้องใช้เงินเลย ในหลักพุทธศาสนาเราจึงมีความสุขที่แท้จริงโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อ ส่วนความเพลิดเพลินความหลแกลวงที่คนเข้าใจว่าเป็นความสุขนั้น ใช้เงินมาก มายจนเงินไม่พอใช้ เรื่องนี้ขอให้พิจารณาดูเถิดมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
          เมื่อพระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านเรือน คือนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน พระจะสวด คำสอนบทนี้ด้วยเสมอไปว่า รดุพา มุทา นิปุตติน ปุญจมานา ยกายน ปตีโปซึ่งแปลว่า ได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่า ๆ นิพานคือสิ่งสูงสุดของสุขสูงสุดจะได้เปล่าโดยไม่ต้องจ่ายเงิน บอกอยู่อย่างนั้นว่าความสุขที่แท้จริงคือของที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
          ความสุขที่หลอกลวงและต้องจ่ายเงินไปไม่พอจะต้องโกงต้องคอรัปชั่น ข้าราชการคอรัปชั่นเพราะไปหลงความสุขอันหลอกลวง พ่อค้าประชาชนที่ไหนก็ตามที่คดโกงก็เพราะเงินไม่พอใช้ เพราะไปหลงความสุขที่หลอกลวง
          ถ้าทุกคนบูชาความสุขที่แท้จริงชนิดที่ทำแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วทุกคนจะมีเงินเหลือมากมาย ถ้าทำหน้าที่การเงินจนยกมือไหว้ตัวเองได้ผลการงานมันก็เยอะ เป็นเงินทองก็เยอะ ไม่ต้องไปใช้อะไรที่ไหนมันก็กองอยู่ที่นั่น คือคนทำหน้าที่ของตนพอใจแล้ว ได้รับความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจ ความสุขชนิดนี้ทำให้เงินทองกองอยู่ที่นั่นแล้วแต่จะไปใช้อะไร ที่นี้ความสุขหลอกลวงของกิเลสตัณหามันมาเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ หมดไป หมดไป จนต้องเป็นหนี้เป็นสิน จนต้องคอรัปชั่น จนต้องไปอยู่ในคุกในตะราง นี่ช่วยจำว่าความสุขที่แท้จริงกับความสุขที่หลอกลวงมันมันต่างกันมากถึงขนาดนี้
           ในที่สุดขอสรุปความสั้น ๆ ว่า “ท่านที่เป็นทนายความนั้นคือผู้ที่มีอุดมคติอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าพระสงฆ์” คือใช้ความรู้ของตนช่วยบุคคลที่ไม่มีความรู้ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ไม่มีความรู้ไม่มีกำลัง เรามีความรู้มีกำลังช่วยเขาให้พ้นจากทุกข์อันนั้นโดยยุติธรรม ประพฤติธรรมะข้อนี้จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ไม่มีอะไรบกพร่องจนเกลียดตัวเอง
          และขอให้ท่านที่เป็นทนายความมีโชคดีทั้งที่ได้ลูกความที่รวย เขาก็ให้ค่าธรรมเนียมมาก แปลว่าโชคดี ถ้ามีลูกความที่ยากจนไม่มีเงินให้เลยก็ได้ การประพฤติปฏิบัติหน้าที่อันสูง สุดของทนายความ มีธรรมะของทนายความ ความช่วยเหลือผู้ตกยากให้รอดพ้นจากความยากด้วยความรู้ของตน ได้คุณธรรมอันสูงสุดของทนายความซึ่งมีค่าไม่น้อยกว่าได้เงินมาก ๆ เลย
          อาตมาจึงกล่าวว่าขอให้ทนายความทั้งหลายจงโชคดี ทั้งเมื่อได้ลูกความที่ร่ำรวยได้เงินมาก และลูกความที่ยากจนเหลือประมาณก็ได้คุณธรรมที่แท้จริงมาก เลยเป็นคนร่ำรวย นี่แหละจะได้เป็น “ทนายความของธรรมะ”
          อย่างลืมว่าทนายความทั้งหลายต้องเป็นทนายความของพระพุทธเจ้าด้วย คือพิทักษ์ความเป็นธรรม ความถูกต้องของพระพุทธศาสนาด้วย
          พระพุทธศาสนานี้มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ใส่ลงมาในพระพุทธ ศาสนา จะเป็นการทำลายพุทธศาสนาไหม้หมดความเป็นพุทธศาสนา และพร้อมจะต่อสู้ทุกคนที่จะเอาไสยศาสตร์มาทำลายความเป็นวิทยาศาสตร์ในพุทธศาสนา อย่างนี้เรียกว่าท่านทั้งหลายเป็นทนายความของพระพุทธเจ้าด้วย คือพิทักษ์ความเป็นพุทธศาสนาที่ถูกต้องแล้วใช้ความรู้อันสูงนี้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ให้อยู่กับความผาสุกด้วยกัน ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน จะทำอะไรคอยถึงถึงการที่เราเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันเสียก่อน แล้วการทำนั้นจะถูกต้องไม่มีบกพร่องแน่นอน
          ขอให้ท่านที่เป็นทนายความของพระพุทธเจ้านี้จงประสพความเจริญในหน้าที่การงานในสิ่งอันพึงประ สงค์ทุกประการอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย.