ก่อนอื่นทั้งหมดอาตมาขอแสดงความยินดีในการมาสู่สถานที่นี้ของท่านทั้งหลาย
ด้วยเหตุผลคือได้ทำการพบปะกันระหว่าง “ผู้ที่มีอุดมคติเหมือนกัน”
บางคนอาจไม่เข้าใจว่าทนายความกับพระจะมีอุดมคติเสมอกันได้อย่างไร
ขอบอกกล่าวอย่างสั้น ๆ กันว่า พระก็ดี ทนายความก็ดี มีอุดมคติเหมือนกันตรงที่ใช้ความรู้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้
ขอให้ดูเถิดว่ามันตรงกันหรือไม่ตรงกัน ซึ่งเดี๋ยวก็จะได้พูดกันให้มากกว่านี้
อาตมายินดีที่ได้พบกับผู้ที่มีอุดมคติตรงกันอย่างนี้
และขออภัยทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดที่ให้นั่งคือ “นั่งกลางดิน”
และกลางดินนี้พวกเราถือเป็นเกียรติสูงสุด
เพราะพระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าเรานั้นท่านตรัสรู้กลางดิน
ท่านสอนก็กลางดิน ที่อยู่ของท่านก็พื้นดินและในที่สุดก็นิพพานหรือตายกลางดิน
ที่เขาเรียกว่ากลางดินหรือพื้นดินนี้มีความหมายสำหรับพระพุทธเจ้าอย่างไร
ขอให้คิดดูเถิดว่ามันเป็นสิ่งที่มีเกียรติหรือไม่มีเกียรติ
ใคร่ขอร้องให้ท่านทั้งหลายกระทำใจเป็นอนุสติถึงพระพุทธเจ้าผู้ประสูติกลางดิน
ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ตายกลางดิน ในเมื่อนั่งกลางดิน
ขอให้เอามือลูบดิน เพื่อกำหนดจดจำไว้ในใจไม่ลืมเลือน
ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายคงไม่เคยนั่งกลางดิน
เพราะไปที่ไหนก็มีการต้อนรับด้วยที่นั่ง อย่างน้อยก็เป็นเก้าอี้ก็เป็นไปตามเรื่อง
เดี๋ยวนี้ต้อนรับท่านทั้งหลายด้วยอาสนะกลางดินซึ่งเป็นที่นั่งนอนของพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่านั้นก็คือขอให้กำหนดจดจำไว้ในใจเพื่อว่าเราจะได้มีอุดมคติอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าคือ
“การเป็นอยู่อย่างต่ำ แต่มีความคิดและการกระทำอย่างสูง”
ถ้ากินอยู่อย่างสูงแล้วมันลงมาต่ำ ถ้ากินอยู่อย่างต่ำจิตใจมันเดินขึ้นสูง ถ้าทำสิ่งซึ่งสูงสุดต้องมีการเป็นอยู่อย่างต่ำ
ขอให้ช่วยจำความหมายว่า “นั่งกลางดิน” นี้ไปด้วย
เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการดำรงชีวิตต่อไปในอนาคต
ท่านมีความประสงค์จะให้อาตมากล่าวธรรมะ
อาตมาก็เข้าใจเอาเองว่าต้องเป็น “ธรรมะที่เกี่ยวกับอาชีพทนายความ” หรือเป็นประโยชน์ที่เกื้อกูลแก่การปฏิบัติหน้าที่ของทนายความ
ข้อแรกที่สุดที่เราจะพูดกันถึงความเข้าใจผิดบางอย่างระหว่างประชาชนกับทนายความ
คือประชาชนโดยทั่วไปมัก
“มองอาชีพทนายความว่าเป็นอาชีพที่ไม่สุจริต”
เป็นอาชีพที่เอาเปรียบหรือขูดรีดหรืออะไรต่าง ๆ นา ๆ
มิใช่เป็นการหลู่เกียรติทนายความเกินไป เป็นความเข้าใจผิด
แต่ว่าในบางถิ่นบางแห่งบางบุคคลอาจเป็นความจริงที่มีมูลก็ได้
แต่เดี๋ยวนี้เราพูดกันตามตรง ตามหลักการของธรรมชาติก็ดี ของมนุษยธรรมก็ดี
เป็นการกล่าวหาที่ยังไม่ตรงต่อความจริง
เพราะผู้ทำหน้าที่ “ทนายความ”
นั้น มันก็คือ “ผู้ประพฤติธรรม” อย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ถ้าว่าได้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง
คำว่า
“ธรรมะ” นั้น
แปลว่าหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตจะต้องรู้และกระทำต่อตนเองและผู้อื่น
ทั้งในระดับสูงและระดับต่ำ ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดเข้าใจความหมายของคำว่า “ธรรมะ” กันเสียใหม่ให้ถูกต้อง
บางทีโรงเรียนเขาสอนพวกเด็ก
ๆ ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พูดเท่านั้น แล้วก็เลิกกัน
ก็ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไรกระทั่งจนบัดนี้
ขอให้เข้าใจว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นจริง
แต่ต้องบอกว่าสอนเรื่องอะไร ธรรมะก็คือคำสอนเรื่องหน้าที่ คำว่า “ธรรมะ” นี้มีพูดกันอยู่ในหมู่มนุษย์ก่อนที่พระพุทธเจ้าก่อน
คือก่อนที่พระพุทธเจ้าเกิดนั้นมนุษย์ในถิ่นนั้น ในถิ่นที่ใช้ภาษานี่
เข้าพูดคำว่าธรรมะกันอยู่แล้ว มิใช่เพิ่งมีเมื่อพระพุทธเจ้าเกิด
ฉะนั้น
“ธรรมะ” แปลว่า “หน้าที่” เมื่อมนุษย์ได้พ้นจากคำว่าป่าเถื่อน
มาเป็นมนุษย์ที่รู้จักทำมาหากินแล้ว ก็รู้สิ่ง ๆ
หนึ่งที่เราเรียกในภาษาไทยว่าหน้าที่
คนพวกนั้นก็ต้องเรียกตามภาษาในถิ่นเขาคือในอินเดียยุคดึกดำบรรพ์โน้น
นั่นเรียกว่าธรรมะในฐานะที่เป็นหน้าที่ อย่างพูดในภาษาไทยก็หน้าที่
มนุษย์เลยรู้จักว่า
“หน้าที่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” ต้องทำ
ต้องขวนขวายหาความรู้เรื่องหน้าที่ แล้วก็สอน ๆ กันเป็นลำดับมา
สอนเรื่องหน้าที่ให้ดีขึ้น จนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ท่านได้สอนหน้าที่สูงสุดให้
คือการดับทุกข์สิ้นเชิง บรรลุนิพพาน ท่านสอนว่า “ธรรมะนั้นคือหน้าที่ที่สำหรับสิ่งมีชีวิตจะต้องประพฤติ
กระทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเองก่อน และความอยู่รอดของผู้อื่นด้วย”
เพราะเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้
แม้ว่าความบีบคั้นนั้นมีทั้งอย่างต่ำและอย่างสูง
การรอดขั้นต้นคือ “รอดจากความตาย” นี่เป็นการรอดขั้นต้น
หน้าที่ต้องช่วยความรอดจากการตายก่อน พอรอดจากความตายแล้วก็ “รอดจากความทุกข์” อันละเอียดอ่อนทั้งหลายทางจิตใจด้วย
เรียกว่ารอดทั้งสองขั้น คือขั้นต่ำและขั้นสูง หรือทั้งทางกายและทางจิตใจ
“ธรรมะ”
คือ “หน้าที่ที่สิ่งมีชีวิตต้องกระทำเพื่อให้เกิดความรอดแก่ตนเองและแก่ผู้อื่นทั้งทางกายและจิตใจ”
นั่นคือธรรมะ
สรุปเรียกสั้น
ๆ ว่าธรรมะคือหน้าที่ “เมื่อใดมีการทำหน้าที่เมื่อนั้นมีธรรม
ธรรมมีเมื่อมีการปฏิบัติหน้าที่” ในโบสถ์อาจไม่มีธรรมก็ได้ถ้าไม่มีการปฏิบัติหน้าที่
บางโบสถ์มีแต่สิ่งกินฟรี ในทุ่งนาที่มีชาวนาไถนาอย่านั้นอาจมีธรรม
มีธรรมอย่างยิ่งเพราะเขาทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดแห่งชีวิตและจิตใจ
ที่ไหนมีการทำหน้าที่ที่นั่นมีธรรม ทุกคนต้องทำ แม้แต่ชาวนา ชาว สวน พ่อค้า
ทนายความ หรือแม้แต่คนขอทานก็ต้องทำ ทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรมของขอทาน “เมื่อทำหน้าที่ของคนดีแล้วก็รอดพ้นจากความทุกข์”
“ความหมายของธรรม”
คือ “ผู้ทรงผู้ปฏิบัติให้ตกต่ำลงในความทุกข์
คือพยุงผู้ปฏิบัติให้ขึ้นอยู่เหนือความทุกข์” นี่คือความหมาย
แต่ความมุ่งหมายของคำว่าธรรมะหรือหน้าที่
ดังนั้น “คนเราต้องทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดของตนเองและของผู้อื่น
ทั้งอย่างต่ำและอย่างสูง” อย่าว่าแต่คนแม้แต่สัตว์ก็ต้องทำหน้าที่
มีธรรมะของสัตว์เดรัจฉาน มันทำอะไรไปตามแบบของสัตว์เดรัจฉานเพื่อความอยู่รอดและเจริญยิ่ง
ๆ ขึ้นไป
อย่าแต่สัตว์เดรัจฉานเลย
แม้แต่ต้นไม้ทั้งหลายที่เราเห็นอยู่นี่ก็ทำหน้าที่ เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกัน
ต้นไม้ต้องทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ตามที่เราเรียนมาทางวิชาชีววิทยา
ต้นไม้มีคายออกซิเจนอยู่ตลอดวัน คายคาร์บอนไดออกไซ.ตลอดคืน ก็แปลว่ามันทำหน้าที่ตลอด
๒๔ ชั่วโมง ทำเล่นกับต้นไม้ซิ ถ้ามันไม่ทำทั้ง ๒๔ ชั่วโมง
มันจะเอาออกซิเจนที่ไหนมาคายตลอดวันและคาร์บอนไดออกไซด์ตลอดคืน
ดูว่าต้นไม้จะขยันกว่าใครคือทำงาน ๒๔ ชั่วโมง แต่มนุษย์เรานี่เอาเปรียบ ๘
ชั่วโมงก็บ่นแล้ว ใน ๘ ชั่วโมงนั้นมีเวลาโดยเสียอีกไม่ได้ทำเต็มตามที่กำหนดไว้
ขอให้ถือเป็นหลักว่า
ธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องทำทั้งคนทั้งสัตว์และทั้งพืชพรรณพฤกษาทั้งหลสายก็ต้องทำ
จำเป็นหรือไม่ ให้คิดดู หน้าที่เพื่อชีวิตรอด
ทีนี้
“ทนายความ” ก็มีการทำหน้าที่ในฐานะเป็นมนุษย์ทั่วไป และ “หน้าที่เฉพาะ”
คือ “ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ด้วยความรู้”
ต้องดูให้ดีนะทนายความที่มีอุดมคติและซื่อตรงต่ออุดมคติ
งานของเขาคือช่วยผู้ไม่มีความรู้ด้วยความรู้
ช่วยผู้อ่อนแอไม่มีแรงด้วยความมีแรงของเรา เหมือนพ่อแม่ช่วยเด็ก ๆ ที่เดิน ถ้าพ่อแม่ไม่ช่วยแล้วเด็กมันจะอยู่รอดได้อย่างไร
เอาใจความสำคัญแต่เพียงว่า
“ผู้มีความรู้ให้ใช้ความรู้ของตนไปช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้” “อุดมคตินี้เป็นอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า”
พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมครูมีความรู้สูงสุด แล้วท่านก็ใช้ความรู้ของท่านช่วยสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ให้รอดพ้นจากความทุกข์และความตาย
นี่คืออุดมคติ คืออุดมคติมันอยู่ตรงที่การใช้ความรู้ของตนช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้
นี่ที่เอามากล่าวว่า อุดมคติของทนายความกับพระมันตรงกันตรงนี้
ขอให้ไปคิดดูว่า
หัวใจแท้ ๆ ของเรื่องมันอยู่ตรงนี้หรือเปล่าว่าผู้ที่มีความรู้ก็ใช้ความรู้ของตนช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้
ผู้ที่มีความเข้มแข็งก็ใช้ความเข้มแข็งของตนช่วยผู้ที่มีความอ่อน แอ
เรียกว่ามีอุดมคติ รู้จุด เป็นอุดมคติของโพธิสัตว์
ถ้าทนายความมีความซื่อตรงต่ออุดมคติของทนายความ
คือ “ใช้ความรู้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้” “ไม่ใช่ทำนาบนหลังผู้ไม่มีความรู้”
ฉะนั้นเพื่อมิให้เป็นการทำนาบนหลังผู้ไม่มีความรู้
และทำให้การขูดรีดต่าง ๆ มันหมดลงก็ดี ต้องมีอุดมคติของคำว่าทนายความ หรืออุดมคติของพระพุทธเจ้าที่ว่า
ใช้ความรู้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้
“ประชาชนยังเข้าใจผิดต่อทนายความว่าเป็นอาชีพที่ไม่ซื่อตรง”
เข้าใจกันอย่างนั้น คือไม่น่าเคารพบูชา “เพราะว่ามีลักษณะเหมือนกับทำนาบนหลังคนไม่มีความรู้”
แต่ใคร
ๆ ก็เห็นชัดเจนว่า นั่นไม่ใช่อุดมคติของทนายความ
ทนายความต้องมีธรรมะ
ต้องมีจรรยาบรรณของทนายความ
ใช้ความรู้ของตนช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ให้ได้รับความเป็นธรรมหรือความยุติธรรม
ถ้ามาดูกันในแง่นี้
ทนายความคือผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมในโลกนี้ด้วยพวกหนึ่ง
ซึ่งถือเป็นผู้มีหน้าที่เป็นธรรม ประกอบอยู่ด้วยธรรม ไม่รังเกียจและตั้งอยู่ในฐานะที่ควรเคารพสักการะ
ถ้าดำรงตนอยู่ในอุดมคติของตนอันแท้จริง
ประชาชนทั่ว
ๆ ไปยังเข้าใจผิด เช่น แม้แต่การค้าขาย
เขาก็เห็นว่าเป็นการกระทำที่เอาเปรียบผู้อื่น ขูดรีดผู้อื่น ไม่ได้บุญอะไร
อาตมาเคยพูว่าถ้าทำหน้าที่ทางธรรม
ตามหน้าที่ของมนุษย์แล้วเป็นบุญ เป็นกุศลทั้งนั้น เป็นพ่อค้า ค้าขาย
เขาให้คนทั้งหลายได้รับความสะดวก
ซึ่งความสะดวกมันมีค่ามากกว่าเงินกำไรที่พ่อค้าเขาได้รับจากผู้ซื้อ
นี่หมายความว่าเมื่อพ่อค้าเป็นผู้บริสุทธิ์ยุติธรรม
เขาจะทำหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้อง แล้วก็คิดประโยชน์ตามสมควร
เพราะใคร
ๆ ก็เห็นอยู่ ทุกคนต้องกินอาหารต้องใช้จ่ายอะไรมันจึงอยู่ได้
ถ้าจะเกณฑ์ให้คนมาทำหน้าที่ช่วยคนอื่นตลอดไป โดยไม่ได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นค่าข้าวปลาอาหารวันละ
๑ บาตร บิณฑบาตวันละ ๑ ครั้งก็ยังมีการตอบแทน
หากแต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าพระสงฆ์ทำให้ประชาชน มันมีค่านับไม่ไหว
คือการยกสถานะทางจิตใจทั้งทางร่างกายให้พ้นจากความทุกข์
อันมีค่ามากมายนับคำนวณไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับข้าวสุกบาตรเดียวหรือครึ่งบาตร
เป็นอันว่าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นประโยชน์แก่ใคร ๆ ก็ตาม ไม่มีเวลาไปทำมาหากิน
ก็ต้องได้รับประโยชน์ผู้ที่ให้ทำหน้าที่
หรือได้รับประโยชน์จากการทำหน้าที่ของผู้นั้น อย่างคนค้าขายทำให้คนทั้งหลายสะดวก
เขาก็ควรได้รับการตอบแทนเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ได้
ก็ถือกำไรตามสมควรที่เขาควรจะได้รับ แต่ถ้าเมื่อใดเอากำไรเกินควร
เป็นการขูดรีดแล้ว ก็หมดความเป็นคนค้าขายแล้วและกลายเป็นคนขูดรีดไปแล้ว
มันพ้นจากความเป็นพ่อค้าไปแล้ว
แต่ถ้ายังทำหน้าที่พ่อค้าอย่างตรงไปตรงมา คือคิดกำไรแต่พอสมควรก็ยังเรียกว่าเป็นผู้ประพฤติประโยชน์
เป็นหน้าที่ที่ต้องประพฤติ
เป็นธรรมะที่ต้องประพฤติที่ต้องมีอยู่ในโลกเพื่อให้เราสะดวกด้วยกันทั้งนั้น
เราไม่มีการค้านี่เราจะได้รับความลำบากเท่าใด เราต้องแบกของหนัก ๆ
ไปแลกเปลี่ยนกันเหมือนสมัยดึกดำบรรพ์โน้น มันก็ทำไม่ได้
เดี๋ยวนี้การค้าก็ช่วยให้ได้รับความสะดวกสบายมาก
เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำการค้าควรจะได้รับผลตอบแทนเพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้
นั่นคือกำไรที่เขาคิดเอาไปตามสมควร ถ้าเกินสมควรก็กลายเป็นคนขูดรีด
ไม่ใช่พ่อค้าแล้ว กลายเป็นผู้ขูดรีดอะไรไปเสียแล้ว
เพราะฉะนั้นถือเสียว่าการได้รับการตอบแทนจะไม่เป็นบุญเป็นกุศล
มันเป็นบุญเป็นกุศลเพราะว่าเราให้ประโยชน์แก่เขามากมายมหาศาลเกินกว่าสิ่งตอบแทนที่เขาตอบสนองให้เราเล็ก
ๆ น้อย ๆ
เมื่อทนายความทำหน้าที่ของตนโดยสุจรติก็กลายเป็นปูชนียบุคคลได้เหมือนกัน
คือพิทักษ์ความถูกต้องของธรรมะในโลกนี้ไว้ โดยเป็นผู้ที่ใช้ความรู้ของตนช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีความรู้
นี่คือจุดปกติซึ่งเราต้องถือว่าเมื่อมีประโยชน์ก็เป็นผู้ประพฤติประโยชน์มากกว่าสิ่งที่เขาจ่ายให้เรา
ก็เรียกว่าเป็นผู้ประพฤติธรรม
เพราะฉะนั้นอาชีพพ่อค้าก็ดี
อาชีพทนายความก็ดี ถ้าประพฤติถูกต้องตามอุดมคติแล้ว ก็ยังชื่อว่าผู้ประพฤติธรรม
มิใช่ควรพึงรังเกียจว่าคอยแต่ขูดรีด แล้วมันเป็นเรื่องนอกอุดมคติ
ถ้ามีพ่อค้าหรือทนายความคนใดคนหนึ่งทำการขูดรีดเกินความเป็นธรรม
นั้นก็ไม่ใช่ทนายความ มันก็ไม่ใช่พ่อค้าที่ถูกต้องตามอุดมคตินั้น ๆ ดังนั้นประชาชนควรจะเข้ามามองอาชีพหรือเกียรติของทนายความกันเสียใหม่ให้ถูกต้อง
ในฐานะที่เป็นทนายความผู้ใช้ความรู้ของตนช่วยเหลือผู้ที่ไม่รู้ให้ได้รับความเป็นธรรม
นั่นก็คือความเป็นผู้ที่ทำประโยชน์มากกว่าผลที่ได้รับตอบแทน
เช่นเดียวกับพระเจ้าพระสงฆ์ ถ้าบริสุทธิ์อย่างนั้นก็เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะปูชนียบุคคล
ขอให้ท่าทนายความทั้งหลายลองพิจารณาดูว่าคำกล่าวนี้เป็นอย่างไร
ถ้าประชาชนเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องของเขาเข้าใจผิด
แต่ถ้ามีทนายความบางคนทำอะไรนอกขอบเขตของทนายความไป
ก็จะกลายเป็นผู้ที่ถูกประณามไปโดยไม่ต้องสงสัย และก็เป็นความยุติธรรมดีแล้ว
นี่อาตมาพูดในแง่ที่เกี่ยวกับทนายความ
ทีนี้จะพูดในแง่ที่เป็นมนุษย์ทั่ว
ๆ ไป คนเราจะเป็นทนายความอะไรก็ตามเถิด แต่ในฐานะพื้นฐานแล้ว
เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ฉะนั้นจะต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเสียก่อน
แล้วเราก็จะเป็นอะไรที่ถูกต้อง
ทุกอย่างที่เขามอบหมายหน้าที่การงานให้จะเป็นชาวนาชาว สวนหรือพ่อค้า เป็นข้าราชการ
เป็นทนายความ เป็นตุลาการ เป็นอะไรก็ตาม
ถ้ามีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานแล้ว ก็จะเป็นได้ดีทั้งสิ้น
แล้วเราจะพูดกันในเรื่องธรรมะในฐานะที่เป็นพื้นฐาน
คำแรกก็ขอให้เข้าใจคำว่าพุทธศาสนา พุทธศาสนาก็ถูกมองผิด ๆ
ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งถ่วงความเจริญ
การพัฒนาประเทศชาติก็มีคำว่าพุทธศาสนา
น่ะ ขอให้จำไว้ให้ดีว่า คำว่าพุทธศาสนาก็แปลว่าคำสั่งสอนของผู้รู้ธรรม
พุทธแปลว่าผู้รู้ธรรม พุทธศาสนาแปลว่า คำสั่งสอนของผู้รู้ธรรม
อย่าเอามาเป็นเรื่องสถาบันชนิดอ้างสิทธิ อ้างอำนาจ
อ้างเป็นตัวเป็นตนสำหรับต่อสู้ขัดขวางกันระหว่างศาสนาเป็นต้นก็ดี
ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่พุทธศาสนา คำสั่งสอนของผู้รู้ธรรม ตั้งแต่รู้น้อย ๆ
จนถึงรู้ถึงที่สุดเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เรียกว่าผู้รู้ธรรม ทีนี้เราจะพูดถึงธรรมะคืออะไร ธรรมคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะต้องประพฤติ
ต้องกระทำดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
ธรรมะไม่ได้แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด
ธรรมคือหน้าที่ที่ต้องประพฤติกระทำให้รอดชีวิตและรอดจากปัญหานานาชนิดทั้งของตนเองและผู้อื่น
ทั้งในระดับพื้นฐานและระดับสูงสุด
ที่เรียกว่าธรรมะคือหน้าที่
หน้าที่คืออะไร หน้าที่คือสิ่งที่จะช่วยให้รอด ช่วยสิ่งมีชีวิตให้รอด คำว่าความรอด
เป็นสิ่งสูงสุดของทุก ๆ ศาสนา ตรวจดูเอาเถอะ ทุกศาสนา ทุกคัมภีร์ของทุกศาสนา
จะมีคำที่แสดงถึงว่า มุ่งหมายไปในความรอด แต่มันต่างแบบต่างลักษณะกัน
คือความรอดแบบพุทธศาสนา ความรอดแบบศาสนาพราหมณ์อะไรก็ตาม
แต่ในที่นี้เป็นที่แน่นอนว่า ความรอดเป็นที่หมายของทุกศาสนา มีลักษณะต่างกัน
สูงต่ำต่างกัน ตามที่ว่าเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นในยุคสมัยไหน
เกิดขึ้นในถิ่นในแดนอะไร ปัญหาเหมือนกันตรงที่ได้รับความลำบากทุกข์ยากจนถึงตายก็มี
จึงมีผู้คิดค้นวิธีที่จะแสวงหาความรอด แล้วก็สอนต่อ ๆ กันมาสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป
จนรอบรู้สุด คือรอดจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นทุกข์ทรมานอยู่ในวัฏฏสงสาร
อย่างนี้เป็นต้น
ชาวพุทธศาสนาถึงความรอดเพราะการกระทำของตนเองอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
มีกฎของธรรมชาติเป็นหลัก ประพฤติถูกต้องแล้วก็รอด ก็เป็นศาสนาที่มีพระเจ้า
ก็พูดตัดตอนเสียที่หนึ่งว่าประพฤติตามคำสั่งของพระเจ้าแล้วก็จะรอด
ที่จริงคำสั่งของพระเจ้าก็ถูกต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ
คือประพฤติอย่างนั้นอย่างนั้น
ไม่มีพระเจ้าของศาสนาไหนที่สอนให้คนฆ่ากันหรือสอนให้คนเอาเปรียบเห็นแก่ตัว ไม่มี
ขออนุโลมตามกฎธรรมชาติให้มนุษย์รักกัน ก็ช่วยเหลือกันทุกอย่างทุกประการที่จะทำให้เกิดความผาสุกสวัสดี
มันก็ต่างกันอยู่ที่ว่า คำพูดของพุทธศาสนานี้ถือเอากฎของธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุด
ศาสนาที่มีพระเจ้าก็ถือเอาพระเจ้าเป็นสิ่งสูงสุด
แต่มีทางเข้าใจกันได้ไม่ขัดแย้งกัน
อาตมาเห็นว่าทนายความทั้งหลายก็น่าจะมีความรู้เรื่องนี้
เพราะว่าแม้ศาสนาจะมีคำสอนตรงข้ามอย่างนี้ แต่ความมุ่งหมายก็ตรงกัน
มีทางประนีประนอมกันได้
โดยไม่เกิดการขัดแย้งถึงกับต้องทำลายกันหรือแข่งขันกันในทางที่ว่าไม่เป็นธรรมอย่างที่เป็นปัญหาอยู่ในโลกปัจจุบันนี้
ที่นี้กฎของธรรมชาติอันเด็ดขาด อันสูงสูดนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เฉียบขาด เด็ด ขาด
สูงสุดตามแบบของกฎธรรมชาติซึ่งควบคุมอยู่ในทุก ๆ ปรมาณู ของทุกปรมาณูที่ประ
กอบกันขึ้นเป็นสากลจักรวาล กฎของธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ดี
กฎของธรรมชาติมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นกฎอย่างที่เรียกว่า
กฎวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันควบคุมอยู่ในทุกๆ
ปรมาณูของปรมาณูทั้งหลายที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล
มันไม่ใช่ควบคุมอยู่ที่ตัวบุคคล
นี่คือกฎธรรมชาติเป็นสิ่งสูงสุดอย่างนี้
ก็มีลักษณะตายตัว ถ้าทำอย่างนี้ผลจะเกิดขึ้นอย่างนี้ ตามกฎอย่างเดียวกับกฎวิทยาศาสตร์
แล้วเรามีหน้าที่จะต้องรู้ว่าทำอย่างไรจะเกิดผลอย่างที่เราต้องการ
ว่าทำอย่างไรจะได้รับผลเป็นความสุขสวัสดี
ที่นี้
มันก็ทุกคนต้องทำอย่างนั้นจึงจะมีความสุขสวัสดี ถ้ามีบางคนทำแหวกแนว
คนทั้งหลายก็จะช่วยกันจับ
จัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ให้มันถูกต้องเพื่อมิให้เป็นภัยแก่สังคม
หน้าที่ที่จะทำให้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขมันคือธรรมะ แต่ในทางศาสนาเรียกว่ารอด คือรอดจาดตัณหานานาประการ
ปัญหาทุกชนิดไม่มี ผ่านพ้นไปหมดสิ้น เพราะปฏิบัติตามธรรม
ปุถุชนแปลว่าคนหนา
ปุถุแปลว่าหนา ปุถุชนแปลว่าคนที่มีฝ้าบังดวงตา
ทำให้มองไม่เห็นความจริงว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้ ดังนี้ปุถุชนจึงเห็นแก่ตัว
เห็นง่าย ๆ ต่ำ ๆ เช่น เห็นว่าเงินทองเป็นของสารพัดนึก
เงินจะบันดาลอะไรให้ทุกอย่าง เป็นสิ่งสูงสุด หรือว่าเห็นว่าความยาก
จนไม่มีอะไรจะกินนี่เป็นทุกข์เรื่องกิเลส เรื่องทางจิตใจไม่สน นั่นคือปุถุชน
มันมีฝ้าปิดตาหนาเกินไป
ส่วนอารยชนมีฝ้าฝนตาบางหรือไม่ค่อยจะมี
อารยชนจึงมองเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นมนุษย์ทำไม เป็นอย่างไร
อะไรเป็นสิ่งสูงสุดที่จะทำความสงบสุขให้แก่เราได้
ดังนั้นจึงเป็นไปในทางตรงข้ามจากปุถุชน คือไม่เห็นแก่ตัว เห็นปัญหาอันแท้จริงว่า
เรื่องต่าง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับจิตใจ ถ้าจิตใจถูกต้องแล้วสิ่งทั้งปวงก็จะถูกต้อง
ก็เลยจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องยิ่งกว่าปุถุชน
ฉะนั้น
เราในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งก็ขอให้พ้นจากการเป็นปุถุชนชนิดนั้นมาเป็นกัลยาณชนคือชนชั้นดีงาม
เริ่มมีสายตาอันสว่างแจ่มใส มีฝ้าในดวงตาน้อยลงเป็นลำดับ
ก็จะเห็นตามที่เป็นจริงว่า เราควรทำอย่างไร เป็นมนุษย์นี้เป็นทำไม
อะไรเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์ เป็นมนุษย์ต่างจากคนธรรมดาอย่างไร เขาว่าชนคือคน
คือปุถุชนนั่นเอง ฝ้าในดวงตาหนา ถ้าเป็นมนุษย์ก็แสดงว่าจิตใจสูงกว่านั้น
มองเห็นอะไรสูงกว่านั้น จริงกว่านั้น
ลึกลงไปกว่านั้นก็มองเห็นอะไรได้มากกว่าคนธรรมดา
ฉะนั้นเป็นมนุษย์นี่มันสูงกว่าคนธรรมดา
สูงทำไม ก็เพื่อที่จะให้ไต่เข้าไปก่อความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง
คือรู้จักจับรู้จักกระทำเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ อย่างให้เราต้องเป็นทุกข์
ขอให้รู้ว่าพื้นฐานความเป็นมนุษย์นั้น มันอยู่ที่ตรงนี้
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์คนหนึ่งก็เป็นมนุษย์ที่ถูกต้องโดยพื้นฐาน
แล้วมนุษย์คนนี้จะไปทำหน้าที่อะไรในหน้าที่อันมากมายของสังคมมนุษย์นั้น
ก็ว่าไปตามเรื่อง แต่ถ้าเราเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องแล้วจะไปทำหน้าที่อะไรก็ทำได้ดี
เหมือนกับดินที่ดีนั้นจะปั้นภาชนะอะไรมันก็ดี ถ้าดินมันไม่ดีจะปั้นภาชนะอะไรก็ดีไปไม่ได้
มองเห็นชัดว่าความเป็นมนุษย์คือมีมนุษยธรรม
มนุษยธรรมคือหน้าที่ที่มนุษย์ต้องประพฤติและทำหน้าที่นั้น
ก็คือความอยู่รอดของเราทุกคน คือทั้งกับตนเองและผู้อื่น รอดทั้งจากปัญหาต่ำ ๆ
และปัญหาสูงสุด ปัญหาพื้น ๆ และลึก ๆ ทุกปัญหาก็จะหมดไปไม่เบียดเบียนเรา
จึงจะเรียกว่าเรามีความเป็นมนุษย์ที่ถึงระดับสูงสุด
เราทำหน้าที่ของมนุษย์ให้ถูกต้องและมีความสุขในการทำหน้าที่
ขอสรุปความตอนนี้ว่า
ธรรมะคือหน้าที่ เรามีธรรมะเมื่อเราปฏิบัติหน้าที่โดยตรงของมนุษย์
การปฏิบัติหน้าที่นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม พิธีรีตองต่าง ๆ ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม
เป็นแต่เพียงพิธีรีตอง ยังช่วยมนุษย์ไม่ได้
เราจะต้องทำหน้าที่ที่ถูกต้องในการที่จะขจัดปัญหาต่าง ๆ ออกไป
มีหน้าที่อย่างไรก็ทำหน้าที่ของตนให้ครบถ้วน
จนพูดได้ว่าถ้าทุกคนในโลกนี้ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องแล้ว
โลกนี้จะหมดปัญหา จะไม่มีวิกฤติการณ์ จะมีแต่สันติภาพอันถาวร
เพียงแต่ว่ามนุษย์ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ตนมีหน้าทีอะไรในปัจจุบันก็ทำหน้าที่นั้นให้ถูกต้อง
ให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถของตน เป็นชาวนาก็ทำนา เป็นชาวสวนก็ทำสวน
เป็นพ่อค้าค้าขาย เป็นข้าราชการทำราช การ เป็นทนายความก็ทำหน้าที่ทนายความ
เป็นตุลาการทำหน้าที่ตุลาการ เป็นกรรมการทำหน้าที่กรรมการ เป็นคนขอทาน แจวเรือจ้าง
กวาดถนน ก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เพียงเท่านี้โลกนี้จะมีแต่สันติภาพไม่มีการเบียดเบียน
แต่เดี๋ยวนี้ทุกคนไม่ทำหน้าที่
ทำหน้าที่ก้าวก่าย เอาหน้าที่ที่มิใช่หน้าที่มาเป็นหน้าที่
เช่นพวกอันธพาลก็จะพูดว่าข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องขโมยปล้นจี้ ทำหน้าที่อย่างนี้มันไม่ใช่หน้าที่
เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รอดและไม่ใช่สิ่งทำให้อยู่กันอย่างผาสุก
หน้าที่ที่ถูกต้องคือทำให้ทุกคนอยู่กันอย่างผาสุก
คำว่าหน้าที่จำกัดอยู่ที่ต้องเพื่อความอยู่รอด
ถ้าเพิ่มความวินาศเข้าไปอีกมันก็ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่หน้าที่เป็นธรรมะ
อย่างที่คนอันธพาลเขาอาจจะอ้างว่า เขาทำหน้าที่ของใคร เขาทำหน้าที่เป็นผู้ปล้นจี้
ทำหน้าที่ของล้างผลาญ นั่นมันไม่ใช่หน้าที่จึงไม่ใช่ธรรมะ
ธรรมะจึงมีแต่ในทางที่ทำให้เกิดความรอดแก่ทุกคนและทุกระดับ
ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตน โลกนี้ก็จะพ้นจากวิกฤติการณ์ มีแต่สันติภาพอันถาวร
พ่อทำหน้าที่พ่อ แม่ทำหน้าที่แม่ ลูกหรือหลานหรือเหลนก็มีหน้าที่ของตน พี่ป้าน้าอา
ครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหาจะมีหน้าที่อย่างไรโดยธรรมชาติก็ทำหน้าที่อย่างนั้นให้สมบูรณ์
มีหน้าที่ในการแต่งตั้งมอบ หมายอะไรก็ทำหน้าที่ตามหน้าที่ของตนอย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ต้องมีอะไรมาก ไม่ต้องเรียนอะไรมากให้เสียเวลาเหนื่อยยากลำบาก
เรียนการทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องเท่านั้นแหละ โลกนี้ก็จะมีแต่สันติภาพ
แม้แต่สุนัขและแมวก็ขอให้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง สุนัขมีหน้าที่อย่างไรก็เฝ้าบ้านดี
ๆ แมวมีหน้าที่อย่างไรก็ป้องกันทรัพย์สินจากหนู เป็นต้น
เมื่อท่านทั้งหลายเป็นทนายความก็มีหน้าที่ของทนายความคือการใช้ความรู้ของท่านช่วยเหลือผู้ไม่รู้
ตามพิทักษ์รักษาความยุติธรรมของโลก ทำหน้าที่นี้ให้ดี ไม่มีข้อบกพร่องตรงไหน
แล้วก็จะเกิดความพอใจในตัวเอง ที่ทำให้เกิดความสุขอย่างสูงสุด พอใจในเงินทอง
ข้าวของ เกียรติยศชื่อเสียง บุตร ภรรยาสามี
ก็ไม่เท่ากับความพอใจในตนเองที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างถูกต้องและบริสุทธิ์จนยกมือไหว้ตนเองได้
ทำหน้าที่ของตนเองบริสุทธิ์ถูกต้องจนยกมือไหว้ตนเองได้
ความพอใจชนิดนี้เป็นธรรมะที่สุด เป็นความจริงที่สุด
ซึ่งทำให้เกิดสุขที่สุดเพราะการยกมือไหว้ตัวเองได้
เพราะดูตัวเองแล้งเห็นแต่ความดีตลอดวันตลอดเวลาที่กระทำมา
ฉะนั้น
คำว่าสวรรค์ สวรรค์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่การยกมือไหว้ตัวเองได้
ยกมือไว้ตัวเองได้โดยแท้จริงเมื่อไร เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อไรเกลียดชังตัวเอง
รังเกียจตัวเองเพราะผิดพลาดอะไรก็ดี เมื่อนั้นเป็น นรก
คือทรมาณจิตใจไม่อาจพอใจตัวเองได้ ยิ่งดูตัวเองยิ่งเกลียดชังตัวเอง
นี่คือนรกที่แท้จริง อย่าตกนรกชนิดนี้ก็ไม่ตกนรกชนิดไหนหมด
จะตายไปอีกกี่หนกี่หนมีนรกชนิดไหนอีกก็ไม่ตกนรกที่ไหนอีกถ้าไม่ตกนรกชนิดนี้
โดยนัยเดียวกันถ้าได้สวรรค์ที่นี้จะยกมือไหว้ตัวเองได้ตลอดเวลาแล้ว
จะได้สวรรค์ทุกชนิดในอนาคต
จะตายไปสักกี่ชาติร้อยชาติก็จะได้สวรรค์ทุกชนิดที่มันมีค่า
ได้สวรรค์ที่แท้จริงได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้เสียก่อนคือประพฤติหน้าที่ที่ถูกต้องจนยกมือไหว้ตัวเองได้
เมื่อใจการกระทำของตนเองได้ขนาดนี้มันก็มีความสุข ที่นี้มาดูที่ความสุข
นี่คือความสุข นี่คือความสุขที่แท้จริง
สบายใจเย็นใจเป็นสุขใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้นี่แหละเป็นความสุขที่แท้จริง
ความสุขชนิดนี้ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อแม้แต่บาทเดียวด้วยซ้ำไป
ถ้ามันเป็นความสุขที่แท้จริง
มันไม่ต้องจ่ายเงินซื้อแม้แต่บาทเดียว
เมื่อมีความพอใจในตัวเองอย่างยกมือไหว้ตัวเองได้มันมีความสุขเหลือประมาณและไม่ต้องใช้เงินเลย
แต่คน
เราไม่สนใจ เขาไม่เอาความสุขชนิดนี้ เขาไปเอาความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เลิกงานไปสถานเริงรมณ์ไปอาบอบนวด
ไปอะไรต่าง ๆ จนทำให้เงินไม่พอใช้ต้องคดโกง จนต้องเห็นแก่ตัวหาเงินโดยคดโกงขูดรีด
ได้ความสุขหลอกลวงมันไม่ใชความสุข มันเป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง
คนที่จะหาความสุขก็ไปเอากับมันแล้วก็หาเงินมาใช้มาซื้อจนเงินไม่พอใจ ไม่ว่าคนอาชีพไหนถ้าไปหลงความสุขคดโกงคือไม่ใช่ความสุขแท้จริงแล้ว
เขาจะต้องหาเงินได้ไม่ทันใช้ไม่พอใช้อยู่เสมอ เพราะความหลอกลวงมันแพงมาก
ส่วนความพอใจที่เป็นความสุขที่แท้จริงนี้ไม่ต้องใช้เงินเลย
ในหลักพุทธศาสนาเราจึงมีความสุขที่แท้จริงโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อ ส่วนความเพลิดเพลินความหลแกลวงที่คนเข้าใจว่าเป็นความสุขนั้น
ใช้เงินมาก มายจนเงินไม่พอใช้ เรื่องนี้ขอให้พิจารณาดูเถิดมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
เมื่อพระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านเรือน
คือนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน พระจะสวด คำสอนบทนี้ด้วยเสมอไปว่า “รดุพา มุทา นิปุตติน ปุญจมานา ยกายน ปตีโป”
ซึ่งแปลว่า
ได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่า ๆ
นิพานคือสิ่งสูงสุดของสุขสูงสุดจะได้เปล่าโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
บอกอยู่อย่างนั้นว่าความสุขที่แท้จริงคือของที่ได้มาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
ความสุขที่หลอกลวงและต้องจ่ายเงินไปไม่พอจะต้องโกงต้องคอรัปชั่น
ข้าราชการคอรัปชั่นเพราะไปหลงความสุขอันหลอกลวง
พ่อค้าประชาชนที่ไหนก็ตามที่คดโกงก็เพราะเงินไม่พอใช้ เพราะไปหลงความสุขที่หลอกลวง
ถ้าทุกคนบูชาความสุขที่แท้จริงชนิดที่ทำแล้วยกมือไหว้ตัวเองได้แล้วทุกคนจะมีเงินเหลือมากมาย
ถ้าทำหน้าที่การเงินจนยกมือไหว้ตัวเองได้ผลการงานมันก็เยอะ เป็นเงินทองก็เยอะ
ไม่ต้องไปใช้อะไรที่ไหนมันก็กองอยู่ที่นั่น คือคนทำหน้าที่ของตนพอใจแล้ว
ได้รับความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจ
ความสุขชนิดนี้ทำให้เงินทองกองอยู่ที่นั่นแล้วแต่จะไปใช้อะไร ที่นี้ความสุขหลอกลวงของกิเลสตัณหามันมาเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้
หมดไป หมดไป จนต้องเป็นหนี้เป็นสิน จนต้องคอรัปชั่น จนต้องไปอยู่ในคุกในตะราง
นี่ช่วยจำว่าความสุขที่แท้จริงกับความสุขที่หลอกลวงมันมันต่างกันมากถึงขนาดนี้
ในที่สุดขอสรุปความสั้น ๆ ว่า “ท่านที่เป็นทนายความนั้นคือผู้ที่มีอุดมคติอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าพระสงฆ์”
คือใช้ความรู้ของตนช่วยบุคคลที่ไม่มีความรู้ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก
ไม่มีความรู้ไม่มีกำลัง
เรามีความรู้มีกำลังช่วยเขาให้พ้นจากทุกข์อันนั้นโดยยุติธรรม
ประพฤติธรรมะข้อนี้จนยกมือไหว้ตัวเองได้ ไม่มีอะไรบกพร่องจนเกลียดตัวเอง
และขอให้ท่านที่เป็นทนายความมีโชคดีทั้งที่ได้ลูกความที่รวย
เขาก็ให้ค่าธรรมเนียมมาก แปลว่าโชคดี ถ้ามีลูกความที่ยากจนไม่มีเงินให้เลยก็ได้
การประพฤติปฏิบัติหน้าที่อันสูง สุดของทนายความ มีธรรมะของทนายความ ความช่วยเหลือผู้ตกยากให้รอดพ้นจากความยากด้วยความรู้ของตน
ได้คุณธรรมอันสูงสุดของทนายความซึ่งมีค่าไม่น้อยกว่าได้เงินมาก ๆ เลย
อาตมาจึงกล่าวว่าขอให้ทนายความทั้งหลายจงโชคดี
ทั้งเมื่อได้ลูกความที่ร่ำรวยได้เงินมาก
และลูกความที่ยากจนเหลือประมาณก็ได้คุณธรรมที่แท้จริงมาก เลยเป็นคนร่ำรวย
นี่แหละจะได้เป็น “ทนายความของธรรมะ”
อย่างลืมว่าทนายความทั้งหลายต้องเป็นทนายความของพระพุทธเจ้าด้วย
คือพิทักษ์ความเป็นธรรม ความถูกต้องของพระพุทธศาสนาด้วย
พระพุทธศาสนานี้มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์
ไม่ใช่ไสยศาสตร์ใส่ลงมาในพระพุทธ ศาสนา
จะเป็นการทำลายพุทธศาสนาไหม้หมดความเป็นพุทธศาสนา
และพร้อมจะต่อสู้ทุกคนที่จะเอาไสยศาสตร์มาทำลายความเป็นวิทยาศาสตร์ในพุทธศาสนา
อย่างนี้เรียกว่าท่านทั้งหลายเป็นทนายความของพระพุทธเจ้าด้วย
คือพิทักษ์ความเป็นพุทธศาสนาที่ถูกต้องแล้วใช้ความรู้อันสูงนี้ช่วยผู้ที่ไม่มีความรู้ให้อยู่กับความผาสุกด้วยกัน
ในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน จะทำอะไรคอยถึงถึงการที่เราเป็นเพื่อนเกิด
แก่ เจ็บ ตายด้วยกันเสียก่อน แล้วการทำนั้นจะถูกต้องไม่มีบกพร่องแน่นอน
ขอให้ท่านที่เป็นทนายความของพระพุทธเจ้านี้จงประสพความเจริญในหน้าที่การงานในสิ่งอันพึงประ
สงค์ทุกประการอยู่ทุกทิวาราตรีกาลเทอญ ขอยุติการบรรยาย.